รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - easycashflows

หน้า: [1] 2 3
1


บางครั้งธุรกิจที่อยู่รอดอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งกำไรจากสินค้าหลักนั่นคือหลักการ ร้านอาหารที่เหมือนจะธรรมดา แต่กำไรกลับดีกว่าที่คิด ขณะที่บางร้านคนเยอะแต่เงินไม่เหลือเลย ความต่างอยู่ที่ “กำไรหลายทาง” — การหาช่องทางทำรายได้ที่ซ่อนอยู่ ไม่ใช่พึ่งพาเมนูหลักอย่างเดียว

▶ ตัวอย่างที่ชัดคือ McDonald’s ที่จริงแล้วกำไรหลักมาจากอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่เบอร์เกอร์ หรือ ร้านเหล้าไทย ที่ไม่ได้รวยจากเหล้า แต่จากน้ำแข็งและมิกเซอร์ที่กำไรสูงกว่า ขณะที่ ร้านกาแฟใหญ่ ทำกำไรจริงจากขนมและเครื่องดื่มหวานที่ต้นทุนต่ำแต่ราคาขายสูงกว่า

นี่คือศิลปะของการสร้างกำไรหลายทาง ที่เจ้าของ SME ไทยควรเรียนรู้และปรับใช้ในปี 2568

ปัญหาที่ SME ร้านอาหารเจอจริง

▶ ต้นทุนแรงงาน–วัตถุดิบสูงขึ้น แต่ราคาขายขึ้นยาก
▶ รายได้จากเมนูหลัก Margin ต่ำ กำไรแทบไม่เหลือ
▶ ขยายสาขาแล้วสภาพคล่องตึง เพราะไม่มีเงินสำรองพอ
▶ คู่แข่งใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นดึงลูกค้า ทำให้ยอดขายไม่แน่นอน

ตรงนี้เองที่ สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และระบบข้อมูล POS สามารถเข้ามาช่วยให้คุณสร้าง “กำไรหลายทาง” ได้จริง

เครื่องมือสร้าง “กำไรหลายทาง”

👉 1) ใช้สินเชื่อsme ลงทุนระบบ POS & กล้อง AI
ระบบ POS ไม่ใช่แค่เครื่องคิดเงิน แต่คือ Data Hub ที่เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น

เมนูขายดีช่วงเวลา

พฤติกรรมการสั่งซ้ำ

อายุ/เพศลูกค้า

เมื่อผูกกับกล้อง AI → เจ้าของร้านรู้จักลูกค้าดีขึ้น และออกแบบเมนู/โปรโมชั่นที่ตรงจุด

👉 2) ออกแบบเมนู Upsell ต้นทุนต่ำ–กำไรสูง

น้ำสมุนไพร 15 บาท → ขาย 40 บาท

ขนมหวานเล็กๆ ต้นทุน 20 บาท → ขาย 60 บาท

เครื่องดื่มเย็นพิเศษ Margin สูงถึง 65–70%

นี่คือเมนูที่เสริม “กำไรหลายทาง” โดยไม่ต้องลงทุนใหญ่

👉 3) ฝึกพนักงานให้ Upsell ก่อนปิดการขาย
แนะนำเมนูเสริมทุกครั้ง เช่น “เพิ่มน้ำสมุนไพรอีกแก้วไหมคะ”
▶ ค่าเฉลี่ยบิลโตขึ้น 20–40% แบบไม่รู้ตัว

👉 4) ใช้ Back-end Data ลดต้นทุน
ข้อมูลจาก POS บอกว่าเมนูไหนขายดีจริง → ช่วยลดของเสียจากสต๊อก 15–20%
นี่คือ “กำไรซ่อนอยู่” ที่ SME ส่วนใหญ่มองข้าม

เชื่อมโยงกับสินเชื่อ SME: เงินทุนที่ทำให้กำไรหลายทางเกิดขึ้นจริง

ในปี 2568 ธนาคารไทยเริ่มปล่อย สินเชื่อ SME วงเงินสูง แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ให้กับกิจการที่มีการเงินโปร่งใส โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดและ Statement

▶ วงเงิน 1–5 ล้านบาท สำหรับร้านที่ต้องการรีโนเวต ซื้อเครื่องชงกาแฟ หรือลงทุนระบบ POS
▶ การวิเคราะห์ใช้ DSCR (Debt Service Coverage Ratio) ≥ 1.2–1.3 เป็นเกณฑ์หลัก
▶ การเข้าถึงสินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 ง่ายขึ้นเพราะสถาบันการเงินใช้ Alternative Data เช่น ยอดขายจาก POS หรือแพลตฟอร์มเดลิเวอรี

ตัวอย่างจริง: ร้านกาแฟคุณนัท

คุณนัทต้องใช้เงิน 1,000,000 บาท รีโนเวตร้าน + ซื้อเครื่องชง + ตู้แช่
▶ เลือกกู้ Term Loan (ไม่ค้ำ) ระยะเวลา 5 ปี ผ่อนเดือนละ ~22,000 บาท
▶ รายได้สาขาใหม่คืนทุนใน 2 ปี
▶ ระบบ POS เก็บข้อมูลลูกค้า ทำให้ร้านขาย Upsell ได้เฉลี่ยบิลละเพิ่ม 25%

ผลลัพธ์: ร้านใหม่เปิดตรงเวลา ไม่กระทบเงินหมุนสาขาเก่า และสร้าง “กำไรหลายทาง” ได้อย่างยั่งยืน

สรุป: กำไรหลายทางคือคำตอบสำหรับ SME ในปี 2568

การพึ่งพาแค่เมนูหลักไม่พออีกต่อไปแล้ว เจ้าของ SME ต้องรู้จักสร้าง กำไรหลายทาง ผ่าน
▶ การใช้ระบบ POS และ Data Analytics
▶ Upsell เมนูกำไรสูง
▶ การลงทุนด้วย สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์
▶ บริหารกระแสเงินสดให้ DSCR แข็งแรง

👉 ถ้าคุณคือเจ้าของร้านอาหาร คาเฟ่ หรือ SME ที่อยากยืนระยะในปี 2568 ลองเริ่มวางระบบ “กำไรหลายทาง” วันนี้ แล้วใช้สินเชื่อ SME เป็นเครื่องมือพลิกเกมธุรกิจของคุณ

🔗 ศึกษาข้อมูลและขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.easycashflows.com

2


รู้จักวงเงิน OD และสินเชื่อระยะสั้น ตัวช่วยร้านอาหาร SME ในปี 2568 เสริมสภาพคล่อง ซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าแรง และลงทุนหมุนเวียน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์
 ร้านอาหาร = ธุรกิจที่ต้องหมุนเงินทุกวัน

ลองนึกภาพเจ้าของร้านอาหาร SME ในปี 2568 คุณมีลูกค้าเต็มร้านตอนกลางวัน ออร์เดอร์จาก Grab และ Foodpanda เข้ามาไม่หยุด แต่พอถึงสิ้นวันกลับต้องห่วงว่าเงินพอซื้อวัตถุดิบพรุ่งนี้ไหม?

ธุรกิจร้านอาหารคือโมเดลที่ “เงินสดคือเส้นเลือดใหญ่” คุณต้องซื้อผัก เนื้อ นม จ่ายค่าแรงพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส ทุกวัน การใช้เงินสดที่มีเพียงอย่างเดียวอาจทำให้สภาพคล่องสะดุดและธุรกิจเดินต่อไม่ได้ นี่เองที่ทำให้ สินเชื่อระยะสั้น โดยเฉพาะ วงเงินod (Overdraft / Revolving Credit) กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ “เข้าทาง” ร้านอาหารมากที่สุด

วงเงิน OD คืออะไร?

วงเงิน OD (Overdraft) หรือที่เรียกว่า “วงเงินเบิกเกินบัญชี” ไม่ใช่สินเชื่อกู้ก้อนเดียวแล้วผ่อนคืนเหมือน Term Loan แต่คือ วงเงินสำรอง ที่ธนาคารอนุมัติให้ SME ไว้ใช้หมุนเวียนในบัญชีธุรกิจ

เมื่อมีค่าใช้จ่าย เจ้าของร้านสามารถดึงวงเงินออกมาได้ทันที และเมื่อมีรายได้เข้า ก็โปะคืนไป ทำให้ดอกเบี้ยคิดเฉพาะยอดคงค้าง เป็นรายวัน และใช้ซ้ำได้หลายรอบตลอดอายุสัญญา (ส่วนใหญ่ 1 ปี ต่ออายุได้)

พูดง่าย ๆ ว่า OD เปรียบเสมือน สะพานเงินสด ที่ช่วยเชื่อมรายรับที่ยังมาไม่ถึงกับค่าใช้จ่ายประจำวันที่รอไม่ได้

การใช้วงเงิน OD ในร้านอาหารจริง

เจ้าของร้านอาหาร SME มักใช้ OD กับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทันที แต่รายได้เข้าช้า เช่น

▲ ซื้อวัตถุดิบสด – เนื้อ ผัก นม ที่ต้องซื้อทุกวัน OD ช่วยให้ไม่ต้องรอเงินโอนจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
▲ จ่ายค่าแรงและโอที – พนักงานครัวหรือเสิร์ฟอาจขอเบิกล่วงหน้า หากกระแสเงินสดไม่พอ OD ช่วยสำรองได้ทันที
▲ ค่าเดลิเวอรีและบรรจุภัณฑ์ – กล่องอาหาร แก้ว แพ็กเกจจิ้งที่ควรซื้อทีละมากเพื่อได้ราคาถูก OD ทำให้ตัดสินใจได้โดยไม่กระทบเงินสด
▲ ค่าน้ำ–ไฟ–แก๊ส – ค่าใช้จ่ายประจำที่หากไม่จ่ายตรงเวลา ร้านจะสะดุดทันที
▲ โปรโมชันสั้น ๆ – Flash Sale, 1 แถม 1, แจกคูปอง หรือโฆษณาออนไลน์ที่ต้องใช้เงินสดทันที

ทำไมวงเงิน OD ถึง “เข้าทาง” ร้านอาหาร?

▲ สอดคล้องกับรอบเงินสด: ร้านอาหารมียอดขายรายวัน แต่รายรับจากแพลตฟอร์มหรือเครดิตลูกค้าเข้าล่าช้า OD จึงเป็นตัวเชื่อมที่ยืดหยุ่นที่สุด
▲ ดอกเบี้ยคิดรายวัน: ใช้วันเดียว เสียดอกวันเดียว วันถัดมาโปะคืนหมด ดอกเบี้ยเกือบศูนย์
▲ หมุนได้หลายรอบ: ไม่เหมือนสินเชื่อระยะยาวที่ใช้ครั้งเดียวแล้วหมด OD ใช้–คืนได้ตลอดปี
▲ ไม่ผูกหนี้ยาว: เหมาะกับธุรกิจที่มียอดขายตามฤดูกาล เช่น ร้านย่านออฟฟิศที่คนเยอะช่วงวันธรรมดา แต่เงียบวันหยุด

กลยุทธ์ใช้ OD ให้คุ้มค่า

แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว
ให้ธนาคารเห็นกระแสเงินสดจริงจากธุรกิจ → เพิ่มโอกาสต่ออายุวงเงินและอนุมัติวงเงินเพิ่ม

ใช้ OD แค่หมุน ไม่ลงทุนยาว
อย่านำ OD ไปซื้อเครื่องจักรหรือรีโนเวทใหญ่ เพราะจะกลายเป็นหนี้ดอกบวม

วางแผนโปะคืนตามรอบรายได้
เช่น ใช้ OD ซื้อวัตถุดิบ รอเงินจาก Grab/Foodpanda เข้าภายใน 15 วัน แล้วโปะคืนทันที → เสียดอกเพียง 15 วัน

โชว์หลักฐานรายได้เสมอ
แนบ Statement หรือรายงานยอดขาย POS เมื่อขอวงเงินเพิ่ม ธนาคารจะมั่นใจมากขึ้น

กรณีศึกษา: ร้านอาหาร SME ปี 2568

“ครัวคุณพลอย” ร้านอาหารตามสั่งย่านชานเมือง รายได้หลักมาจากออร์เดอร์เดลิเวอรีที่โอนเงินทุก 15 วัน

ปัญหา: ต้องซื้อวัตถุดิบสดทุกวัน แต่เงินจากแพลตฟอร์มเข้าช้า → เงินหมุนไม่ทัน

ทางออก: ใช้วงเงิน OD 500,000 บาท ดึงเงินทุกสัปดาห์สำหรับวัตถุดิบและค่าแรง

ผลลัพธ์: ดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อเดือนเพียง 3,200 บาท (เพราะโปะเร็ว) แต่ช่วยให้ร้านไม่เคยพลาดออร์เดอร์ และยอดขายโตขึ้น 20% ภายใน 6 เดือน

ตัวเลขที่ SME ควรรู้ (ปี 2568)

ดอกเบี้ยสินเชื่อ OD สำหรับ SME เฉลี่ย 7.5%–11% ต่อปี (คิดรายวัน)

เงื่อนไขมาตรฐาน: ต้องมีนิติบุคคล, งบการเงิน, Statement 6 เดือนขึ้นไป

หากไม่มีหลักทรัพย์: ใช้ สินเชื่อsmeไม่มีหลักประกัน โดยมี บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ค้ำบางส่วน

เช็กลิสต์เอกสารขอ OD สำหรับร้านอาหาร

▲ หนังสือรับรองนิติบุคคล (ไม่เกิน 3 เดือน)
▲ งบการเงินย้อนหลัง 1–2 ปี
▲ Bank Statement 6–12 เดือน
▲ รายงานยอดขาย POS / รายงานจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
▲ แผนธุรกิจสั้น ๆ เน้นกระแสเงินสดและรอบหมุนเงิน

สรุป: วงเงินod  คือ “สูตรลับ” ที่ SME ไม่ควรมองข้าม

ในปี 2568 ที่เศรษฐกิจยังผันผวน ร้านอาหาร SME ไม่ควรพึ่งพาเงินสดอย่างเดียว เพราะเสี่ยงสภาพคล่องขาดมือ การใช้ วงเงิน OD หรือ สินเชื่อระยะสั้น เป็นเหมือน “สูตรลับ” ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินต่อได้โดยไม่สะดุด

สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้วงเงินอย่างมีวินัย — ใช้หมุนเวียนระยะสั้น ไม่ใช้ลงทุนยาว โปะคืนให้ตรงเวลา และรักษาความโปร่งใสทางการเงิน เพื่อให้การเข้าถึง สินเชื่อ sme ไม่มีหลักประกัน ในอนาคตง่ายขึ้น

คลิ๊กที่นี่เรียนรู้เกี่ยวกับสินเชื่อทุกแบบที่ใช้กับธุรกิจอาหารสินเชื่อsmeไม่มีหลักประกันสำหรับร้านอาหาร

👉 หากคุณคือเจ้าของร้านอาหาร SME ที่อยากรู้ว่า “ควรเริ่มต้นวงเงินเท่าไร เหมาะกับโมเดลธุรกิจแบบไหน” ศึกษาข้อมูลและรับคำปรึกษาได้ที่ www.easycashflows.com


3

ทำไม “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” ถึงเป็นประเด็นใหญ่

ลองนึกภาพคุณเป็นเจ้าของกิจการ SME ที่ต้องการยื่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หมุนเวียนหรือสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คุณอาจคิดว่าธนาคารสนใจเพียง “ตัวเลขยอดขาย” หรือ “กำไร” แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่ธนาคารมองลึกลงไปกว่านั้นคือ “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” (Idiosyncratic Risk)

ปี พ.ศ. 2568 กฎเกณฑ์ด้าน Responsible Lending ของสถาบันการเงินไทยเข้มงวดขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยย้ำชัดว่าการพิจารณาสินเชื่อต้องอ้างอิงกับ “ความสามารถในการชำระหนี้จริง” ไม่ใช่เพียงหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ดังนั้น แม้คุณจะมีที่ดิน อาคาร หรือบัญชีเงินฝากค้ำ แต่ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงเฉพาะกิจการสูง โอกาสอนุมัติสินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกันก็อาจไม่แน่นอน

สัญญาณที่บอกว่าธุรกิจมีความเสี่ยงเฉพาะกิจการสูงเกินไป
▶ พึ่งพาลูกค้ารายเดียว

หากรายได้มากกว่า 70–80% มาจากลูกค้าหลักเพียงรายเดียว ธนาคารจะมองว่าเป็นจุดเสี่ยงร้ายแรง เพราะหากลูกค้ารายนั้นยกเลิกสัญญา ธุรกิจแทบหยุดหมุนทันที

▶ รายได้ขึ้นลงตามฤดูกาล (Seasonal)

ธุรกิจท่องเที่ยวที่ขายดีเฉพาะช่วงไฮซีซัน หรือธุรกิจเกษตรที่ขึ้นกับผลผลิตเพียงฤดูเดียว ล้วนทำให้ตัวเลข DSCR (Debt Service Coverage Ratio) ไม่สม่ำเสมอ ธนาคารจึงกังวลว่าธุรกิจอาจชำระหนี้ไม่ได้ต่อเนื่อง

▶ มีคดีความหรือภาษีค้าง

ธุรกิจที่มีคดีฟ้องร้องหรือภาษียังไม่ได้ชำระถูกมองเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายและกำกับดูแล ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของผู้ปล่อยกู้

▶ การหมุนหนี้สั้นหลายบัญชี

ผู้ประกอบการบางรายใช้ OD จากหลายธนาคารเพื่อหมุนบัญชีไปมา แม้จะช่วยสภาพคล่องระยะสั้น แต่ธนาคารใหม่จะเห็นว่านี่เป็น “สัญญาณอันตราย” สะท้อนการเงินที่เริ่มไม่สมดุล

วิธีแก้ฉุกเฉิน: เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ต้องโชว์ “หลักฐานบวก”

หากธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณหมดโอกาสยื่น สินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ต้องเพิ่ม “หลักฐานเสริม” เพื่อช่วยลดความกังวลของธนาคาร

▶ สัญญาต่ออายุ (Renewed Contract): แสดงว่าลูกค้าหลักยังมั่นใจและซื้อซ้ำต่อเนื่อง
▶ LOA/PO (Letter of Award / Purchase Order): ยืนยันว่ามีรายได้กำลังจะเข้ามา
▶ เอกสารปิดข้อพิพาท: หากมีการเคลียร์คดีหรือภาษีค้าง ควรแนบเป็นหลักฐานทันที
▶ ประวัติการชำระหนี้: การแสดงตารางการชำระหนี้ตรงเวลา แม้จะใช้ OD หลายบัญชีก็ช่วยเพิ่มเครดิต

🔑 Insight: ธนาคารมักให้ค่าน้ำหนักกับ “หลักฐานที่จับต้องได้” มากกว่าคำอธิบายปากเปล่า เพราะมันช่วยลด Perceived Risk ได้จริง

วิธีแก้เชิงระบบ: ลดความเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำ
▶ กระจายฐานลูกค้า

อย่าปล่อยให้ธุรกิจพึ่งลูกค้ารายเดียว พยายามเจาะตลาดใหม่ สร้างฐานลูกค้าหลากหลาย เพื่อทำให้รายได้สม่ำเสมอ

▶ กำหนดเครดิตเทอมให้รัดกุม

หากเดิมให้เครดิตลูกค้า 90 วัน ควรลดลงเหลือ 30–60 วัน เพื่อลดโอกาสที่กระแสเงินสดติดขัด

▶ ใช้การค้ำประกันโครงการเท่าที่จำเป็น

สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อาจเสริมด้วย Performance Bond หรือ Project Guarantee แต่ไม่ควรค้ำเกินจำเป็น เพราะอาจกลายเป็นภาระผูกพันที่กระทบสภาพคล่องในอนาคต

แนบอะไรเพิ่ม: แผนบริหารความเสี่ยง (Risk Management Plan)

อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ธนาคาร คือการแนบ แผนบริหารความเสี่ยง ไปพร้อมกับการยื่นกู้

ตัวอย่างแผนที่ SME ใช้ได้จริง (ปี 2568):

Risk: พึ่งพาลูกค้ารายเดียว → Action: ตั้งทีมขายหาลูกค้าใหม่ภายใน 6 เดือน → KPI: ลูกค้าหลักไม่เกิน 50% ของรายได้

Risk: รายได้ Seasonal → Action: เปิดบริการเสริมช่วงโลว์ซีซัน เช่น จัดแพ็กเกจออนไลน์ → KPI: ลดการเหวี่ยงของรายได้ต่อเดือนให้น้อยกว่า 20%

Risk: ภาษีค้าง → Action: ทำสัญญาประนอมหนี้กับกรมสรรพากร → KPI: เคลียร์ภายใน 12 เดือน

Risk: หมุนหนี้หลายบัญชี → Action: รีไฟแนนซ์รวมวงเงินเป็นก้อนเดียว → KPI: ลดดอกเบี้ยเฉลี่ย ≥ 2%

บทสรุป: ลดความเสี่ยงก่อนกู้ = เพิ่มโอกาสอนุมัติ

การยื่นขอสินเชื่อไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบมีหลักประกัน หรือสินเชื่อเพื่อธุรกิจรูปแบบใดก็ตาม สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมากที่สุดในปี พ.ศ. 2568 คือ “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” หากผู้ประกอบการรู้เท่าทันสัญญาณเหล่านี้และมีการเตรียมหลักฐาน–แผนบริหารความเสี่ยงที่ดี ก็จะสามารถเพิ่มโอกาสการอนุมัติและยังสร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่น่าเชื่อถือในสายตาสถาบันการเงิน

👉 หากคุณกำลังเตรียมเอกสารยื่นกู้ และอยากได้คำปรึกษาเรื่องการลดความเสี่ยงทางธุรกิจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาได้ที่ www.easycashflows.com

4


 ทำไมธนาคารถึงขอดูงบการเงินย้อนหลังก่อนอนุมัติสินเชื่อsme? บทความนี้เล่าแบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างธุรกิจจริง และเทคนิคเพิ่มโอกาสกู้ผ่านในปี 2568

ลองนึกภาพตาม

คุณเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่กำลังไปได้สวย ยอดขายโตขึ้นทุกเดือน ลูกค้าเริ่มติดใจบรรยากาศและเมนูที่คุณสร้างสรรค์ ปี 2568 นี้ คุณวางแผนจะขยายสาขาใหม่ แต่พอเดินเข้าไปคุยกับธนาคาร แต่ก่อนที่คุณจะได้รับ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน สิ่งแรกที่เจ้าหน้าที่ถามกลับคือ

“ขอดูงบการเงินย้อนหลังหน่อยครับ”

หลายคนอาจจะรู้สึกแปลกใจว่า ธนาคารไม่อยากฟังแผนธุรกิจสุดเจ๋งหรือวิสัยทัศน์ของเราบ้างหรือ? แต่ความจริงคือ สำหรับธนาคารแล้ว งบการเงินย้อนหลัง ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือ “ภาษากลาง” ที่สะท้อนสุขภาพทางการเงินของกิจการ และเป็นหลักฐานว่าธุรกิจคุณสามารถผ่อนหนี้ได้จริง

งบการเงินย้อนหลังคืออะไร และธนาคารดูตรงไหนบ้าง?

โดยทั่วไป ธนาคารจะขอดูงบการเงินย้อนหลัง 1–2 ปี เพื่อประเมินความมั่นคงของธุรกิจ ข้อมูลสำคัญที่มักถูกวิเคราะห์ ได้แก่:

1. งบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement)

ธนาคารอยากรู้ว่าธุรกิจคุณ มีกำไรต่อเนื่องหรือไม่

รายได้โตแค่ไหน

ค่าใช้จ่ายถูกควบคุมดีหรือเปล่า

2. งบดุล (Balance Sheet)

แสดง ทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน

ใช้คำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio)

3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)

ดูว่าธุรกิจ มีเงินสดจริง หรือแค่ “กำไรตัวเลข”

ถ้าเงินสดไหลออกมากกว่าเข้า → ธนาคารจะกังวลว่าคุณอาจจ่ายหนี้ไม่ไหว

📌 พูดง่าย ๆ: งบการเงินย้อนหลังคือ “หลักฐานความจริง” ที่พิสูจน์ว่าธุรกิจมีรายได้จริง และมีศักยภาพชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะเวลาไปยื่น สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารยิ่งใช้ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

Storytelling: ธุรกิจ A vs ธุรกิจ B
ธุรกิจ A – ผ่านฉลุย

คุณมณี เจ้าของโรงงานบรรจุภัณฑ์ ยื่นงบการเงินย้อนหลังครบถ้วน:

กำไรสุทธิเพิ่มปีละ 15%

D/E Ratio = 1.5 อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

DSCR = 1.4 แสดงว่ามีกำไรพอจ่ายหนี้

👉 ธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ 20 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงาน พร้อมดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด

ธุรกิจ B – ถูกปฏิเสธ

คุณสมชาย เจ้าของกิจการขนส่ง รายได้สูงจริง แต่…

ใช้บัญชีส่วนตัวปนกับธุรกิจ

งบการเงินแสดงกำไรต่ำกว่าความเป็นจริง

ภาษีไม่ตรงกับรายได้

👉 ธนาคารปฏิเสธทันที เพราะ “พิสูจน์รายได้จริงไม่ได้”

🔑 บทเรียนสำคัญ: ตัวเลขที่โปร่งใสมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดเสมอ

ธนาคารวิเคราะห์อะไรจากงบการเงินย้อนหลัง?
1. รายได้ต่อเนื่องหรือไม่

รายได้ต้องนิ่ง ไม่เหวี่ยงแรง

ถ้ามี “ลูกค้าประจำ” หรือสัญญาซื้อขายระยะยาว จะได้คะแนนเพิ่ม

ตัวอย่าง: ร้านกาแฟที่ยอดขายโตเฉลี่ย 10% ต่อปี น่าเชื่อถือกว่าธุรกิจที่รายได้เหวี่ยงตามฤดูกาล

2. กำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ

ธนาคารไม่ดูยอดขายอย่างเดียว แต่เจาะลึกถึง ความสามารถทำกำไร

ถ้าขายดีแต่ต้นทุนสูง → ธนาคารจะกังวลว่ากำไรไม่ยั่งยืน

3. หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity – D/E Ratio)

ส่วนใหญ่ธนาคารไทยยอมรับที่ ไม่เกิน 2:1

ถ้าเกินไปมาก แปลว่าธุรกิจพึ่งพาหนี้เยอะ → เสี่ยงสูง

4. ความสามารถชำระหนี้ (DSCR)

สูตร: DSCR = กระแสเงินสด ÷ ภาระหนี้

ธนาคารอยากเห็นค่า ≥ 1.2

หมายถึงยังมีเงินเหลือพอจ่ายหนี้ และกันสำรองเผื่อฉุกเฉิน

5. ภาษีและความโปร่งใส

งบการเงินต้องตรงกับภาษีที่ยื่น

ปี 2568 ธนาคารตรวจสอบผ่าน e-Tax และ e-Filing ได้ทันที

SME ที่โปร่งใส = มีโอกาสได้อนุมัติง่ายกว่า

ทำไม SME หลายรายถึงพลาดตรงนี้?

ไม่ทำงบการเงินอย่างเป็นระบบ → ใช้บัญชีส่วนตัวแทนบัญชีธุรกิจ

ยื่นภาษีไม่ตรง → บางคนยื่นน้อยเพื่อลดภาษี แต่พอขอสินเชื่อ ธนาคารเห็นรายได้ต่ำกว่าความจริง

ไม่ Forecast → ธนาคารอยากเห็นอนาคต ไม่ใช่แค่ตัวเลขในอดีต

Insight สำหรับปี 2568

ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% เอื้อต่อการปล่อยกู้มากขึ้น

SME D Bank และ บสย. มีมาตรการค้ำประกันเสริม สำหรับธุรกิจที่งบการเงินยังไม่แข็งแรง

ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มใช้ e-Statement + e-Tax → ยิ่งโปร่งใส ยิ่งอนุมัติเร็ว

สรุป: งบการเงินย้อนหลัง = กุญแจสู่การเข้าถึงสินเชื่อ SME

อย่ามองว่างบการเงินเป็นแค่ “ตัวเลขบนกระดาษ” แต่มันคือ บัตรผ่าน ที่บอกธนาคารว่า ธุรกิจคุณมีศักยภาพจริง

ถ้าอยากได้:

วงเงินกู้สูง

ดอกเบี้ยต่ำ

อนุมัติเร็ว

👉 ปี 2568 คือเวลาที่ SME ต้องหันมา จัดการงบการเงินอย่างมืออาชีพ เพราะนี่คือภาษากลางที่ทุกธนาคารใช้ตัดสินใจ

กำลังวางแผนยื่นขอ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน ?
อย่าปล่อยให้ “งบการเงินย้อนหลัง” เป็นอุปสรรค

📌 ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่ www.easycashflows.com

5


ลองนึกภาพว่าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่กำลังรุ่งในย่านชุมชน มีแผนขยายสาขาใหม่ในปี พ.ศ. 2568 คุณเตรียมเมนูใหม่ แผนการตลาดพร้อม แต่เมื่อเดินเข้าไปคุยกับธนาคาร สิ่งแรกที่เจ้าหน้าที่ขอคือ “รายงานเครดิตบูโร”

สำหรับสถาบันการเงิน งบกำไรหรือแผนธุรกิจอาจบอกว่า คุณอยากทำอะไร แต่เครดิตบูโรคือหลักฐานว่า คุณทำได้จริงหรือไม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการ ตรวจสุขภาพเครดิต ก่อนยื่น สินเชื่อsme หรือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก ถึงเป็นขั้นตอนสำคัญ

เครดิตบูโรคืออะไร?

เครดิตบูโรคือฐานข้อมูลกลางที่บันทึกประวัติการกู้ยืมและการชำระหนี้ของบุคคลและนิติบุคคล ครอบคลุมถึง:

▶ ประวัติการชำระหนี้ตรงเวลา / ค้างชำระ
▶ สถานะหนี้ปัจจุบัน (สินเชื่อบ้าน รถ SME ฯลฯ)
▶ หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด
▶ หนี้ที่ผู้กู้มีชื่อร่วมกับบุคคลอื่น

ความสำคัญ:

ถ้าเครดิตบูโร “สะอาด” → ธนาคารจะมองว่าผู้กู้มีวินัยทางการเงิน มีโอกาสได้อนุมัติวงเงินสูง

ถ้ามีประวัติค้างชำระหรือเช็คเด้ง → ธนาคารจะมองว่าธุรกิจมี “ความเสี่ยงสูง” และอาจลดวงเงิน หรือปฏิเสธทันที

ประโยชน์ของการตรวจสุขภาพเครดิตก่อนยื่นกู้
1. ปิดบัญชีค้าง / แก้ไขประวัติผิดพลาดได้ทัน

หลายครั้งผู้ประกอบการไม่รู้ว่าตัวเองมีประวัติ “ผิดนัด” อยู่ในระบบ เช่น บัตรเครดิตที่ค้างเพียงเล็กน้อย แต่มีผลต่อเครดิตอย่างมาก

คำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ:
▶ ปิดบัญชีค้างทุกบัญชี
▶ ร้องขอแก้ไขหากพบข้อมูลผิดพลาด
▶ รักษาประวัติการชำระตรงเวลาอย่างน้อย 6–12 เดือน

2. ลดภาระหนี้ส่วนตัวที่กระทบธุรกิจ

SME หลายรายใช้บัตรเครดิตส่วนตัวหมุนเงินร้านอาหารหรือธุรกิจย่อย สิ่งนี้สะท้อนในเครดิตบูโรว่าเจ้าของกิจการ “ไม่แยกการเงิน” ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง

ทางแก้:
▶ แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว
▶ ปรับโครงสร้างหนี้ส่วนตัว
▶ ใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจอาหาร หรือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก แทนการกู้ส่วนบุคคล

3. เลี่ยงการยื่นช่วงที่เครดิตเพิ่งเสีย

เช่น มีเช็คเด้ง หรือค้างจ่ายเพียง 1–2 เดือนก่อนหน้า → ธนาคารจะตีความว่าเป็นสัญญาณเสี่ยง

กลยุทธ์:
▶ รอให้สเตทเมนต์กลับมานิ่งอย่างน้อย 3 เดือน
▶ แสดงหลักฐานการชำระตรงเวลา
▶ ใช้เวลานี้จัดการบัญชีและกระแสเงินสดให้ชัดเจน

กรณีศึกษา: ร้านกาแฟในปี 2568

“ร้านกาแฟคุณนัท” ในย่านอโศกต้องการกู้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก วงเงินสูง 1 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงร้าน แต่เมื่อตรวจเครดิตบูโรพบว่า:

มีบัตรเครดิตค้าง 60,000 บาท

มีเช็คเด้งเมื่อ 2 เดือนก่อน

ถ้ายื่นทันที โอกาสถูกปฏิเสธเกือบ 100%

สิ่งที่คุณนัททำ:

ปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด

รออีก 4 เดือนจนสเตทเมนต์นิ่ง

ชำระหนี้ตรงเวลาตลอด

ผลลัพธ์: เมื่อยื่นกู้ใหม่ ธนาคารอนุมัติเต็มวงเงิน พร้อมอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน เพราะเครดิตกลับมาสะอาด

สร้างเครดิตดี = โอกาสระยะยาว

การรักษาสุขภาพเครดิตไม่ได้ช่วยแค่กู้ครั้งเดียว แต่ส่งผลต่ออนาคต:

▶ เพิ่มวงเงินในอนาคต: เมื่อธุรกิจโต ธนาคารยินดีอนุมัติวงเงินใหญ่ขึ้น
▶ ได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า: เครดิตดี = เสี่ยงต่ำ = ได้เงื่อนไขที่ดีกว่า
▶ เพิ่มความน่าเชื่อถือ: คู่ค้าบางรายใช้รายงานเครดิตเป็นเกณฑ์พิจารณาด้วย

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

Q: ตรวจเครดิตบูโรปี 2568 ต้องทำที่ไหน?
A: สามารถตรวจได้ผ่าน ธนาคารพาณิชย์, ไปรษณีย์ไทย, หรือระบบออนไลน์ของเครดิตบูโร ค่าธรรมเนียม 150 บาท/ครั้ง

Q: ถ้ามีประวัติค้างชำระในอดีต จะกู้ได้ไหม?
A: ได้ แต่ควรปิดหนี้และรักษาประวัติให้ตรงเวลาอย่างน้อย 12 เดือน ธนาคารจะพิจารณาเป็นบวกมากขึ้น

Q: SME รายใหม่ที่เพิ่งเปิด ยังไม่มีเครดิตบูโร ทำอย่างไร?
A: ธนาคารจะใช้เอกสารอื่นประกอบ เช่น Statement ธนาคาร, POS Report, หรือใช้การค้ำประกันจาก บสย.

สรุป

ปี 2568 การตรวจเครดิตบูโรก่อนยื่นกู้
 สินเชื่อsme ไม่ใช่แค่ขั้นตอนเสริม แต่คือ “การลงทุนที่คุ้มค่า” เพราะช่วย:
▶ ปิดหนี้เสียและแก้ข้อมูลผิดพลาด
▶ แยกการเงินส่วนตัว–ธุรกิจ
▶ รอช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนยื่น

ทั้งหมดนี้ช่วยให้ธุรกิจ SME ได้ทั้งโอกาสอนุมัติวงเงินที่สูงขึ้น เงื่อนไขดอกเบี้ยที่ดีกว่า และสร้างความน่าเชื่อถือระยะยาว

👉 หากคุณกำลังวางแผนขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจอาหาร หรือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก อย่าลืมตรวจสุขภาพเครดิตก่อนยื่น เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ

📌 ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อธุรกิจได้ที่ www.easycashflows.com

6
อื่น ๆ / 6 วิธีพลิกเงินกู้ให้ดันกำไรโต ปี 2568
« เมื่อ: กันยายน 09, 2025, 05:46:32 AM »
เมื่อ “เงินกู้” ไม่ได้มีไว้แค่แก้ปัญหา

ในปี 2568 หลายคนยังคงมองว่า สินเชื่อเพื่อธุรกิจ มีไว้เพื่ออุดรูรั่วหรือแก้ปัญหาสภาพคล่อง แต่ความจริงแล้ว หากวางกลยุทธ์ให้ถูกต้อง วงเงินสินเชื่อสามารถกลายเป็น “ตัวเร่งกำไร” ได้ทันที โดยเฉพาะกลุ่ม ธุรกิจบริการและอาหาร เช่น คาเฟ่ ร้านอาหาร และแฟรนไชส์ขนาดเล็ก

ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก และ สินเชื่อเพื่อธุรกิจร้านอาหาร ไม่ได้มีไว้เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้าง ROI ที่วัดผลได้จริง หากเลือกใช้ในจังหวะที่ถูกต้อง

1) ซื้อวัตถุดิบ–เพิ่มสต๊อกช่วงพีก

ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มใช้เงินกู้เพื่อ “ซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า” โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ความต้องการพุ่งสูง

► ได้ส่วนลดทันที 2–10% จากการซื้อแบบเหมาล็อต
► ล็อกต้นทุนไม่ให้แพงขึ้นในช่วงวัตถุดิบขาดตลาด
► ลดความเสี่ยง “ของหมดสต๊อก” ที่ทำให้พลาดยอดขาย

ตัวอย่าง: ร้านกาแฟที่ซื้อเมล็ดกาแฟล็อตใหญ่ หรือร้านอาหารที่สต๊อกวัตถุดิบสดก่อนเทศกาลสงกรานต์ สามารถสร้างกำไรต่อหน่วยเพิ่มขึ้นทันที

2) สำรองค่าแรง–ขนส่ง–วัสดุ ให้ธุรกิจไม่สะดุด

SME หลายรายต้องเผชิญกับ เครดิตเทอมจากคู่ค้า ที่มักจ่ายล่าช้า 30–60 วัน แต่ค่าใช้จ่ายจริง เช่น เงินเดือน ค่าเช่ารถขนส่ง และค่าวัสดุกลับรอไม่ได้

► ใช้สินเชื่อod เพื่อหมุนจ่ายเงินเดือนและค่าน้ำมันรายสัปดาห์
► ใช้สินเชื่อแฟคตอริ่ง (Factoring) เพื่อเร่งเงินจากใบแจ้งหนี้มาใช้ล่วงหน้า

ตัวอย่าง: บริษัทขนส่ง SME ที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันและค่าคนขับทุกสัปดาห์ หากไม่มีวงเงินหมุน อาจต้องหยุดให้บริการและเสียเครดิตธุรกิจทันที

3) ลงทุนในอุปกรณ์ใหม่ ลดต้นทุน–เพิ่มผลผลิต

หลาย SME โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร มักพลาดโอกาสเพราะไม่กล้าลงทุนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ใหม่ ทั้งที่ ROI ชัดเจน

► เครื่องจักรใหม่ช่วยลดของเสียจากการผลิต
► เพิ่ม Productivity รองรับออเดอร์ใหญ่ได้ทัน
► คืนทุนภายใน 6–18 เดือน หากบริหารต้นทุนดี

กลยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญ: เลือกลงทุนในอุปกรณ์ที่คืนทุนไม่เกิน 18 เดือน และจับคู่สินเชื่อกับ Term Loan หรือสินเชื่อเช่าซื้อ เพื่อไม่ให้กระทบกระแสเงินสดเกินไป

4) ใช้เงินกู้เพื่อการตลาดและการขยายจุดขาย

เงินกู้ธุรกิจไม่ได้มีไว้แค่ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน แต่ยังเป็น อาวุธด้านการตลาด

► ยิงโฆษณาออนไลน์ทดลองตลาด 2–4 สัปดาห์
► เปิด Pop-up Store หรือ Kiosk ในย่านคนพลุกพล่าน
► ทำแคมเปญเปิดตัวสินค้าใหม่ให้สร้างกระแส

Insight: สำหรับร้านอาหาร การเปิดสาขาย่อยในห้างหรือย่านออฟฟิศ อาจใช้เงินไม่มาก แต่คืนทุนเร็วและขยายฐานลูกค้าได้ทันที

5) หมุนกระแสเงินสดระหว่างรอชำระหนี้

ธุรกิจบริการและอาหารจำนวนมากต้อง “รอเงินโอน” จากคู่ค้า OTA หรือโมเดิร์นเทรดที่จ่ายล่าช้า 30–60 วัน

► ใช้สินเชื่อระยะสั้นแบบ Cash-flow Bridging เพื่อให้ธุรกิจไม่สะดุด
► หมุนจ่ายเงินเดือน ค่าน้ำไฟ และซัพพลายเออร์ทันเวลา

ตัวอย่าง: โรงแรมที่ต้องรอ OTA โอนเงินหลังลูกค้าเช็กเอาท์ หรือโรงงานอาหารที่ขายส่งให้ห้างใหญ่และต้องรอชำระงวดนาน

6) ซื้อก่อน–จ่ายทีหลัง เพื่อคว้าส่วนลดเงินสด

ซัพพลายเออร์หลายรายเสนอส่วนลด 2–3% หากจ่ายสดก่อนกำหนด การใช้ OD หรือสินเชื่อระยะสั้นช่วยให้ได้กำไรเพิ่มทันที

► ลดต้นทุนต่อหน่วย
► เพิ่มกำไรสุทธิในงบดุล
► สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์

สรุป: พลิกหนี้ให้กลายเป็นเครื่องจักรทำกำไร

ปี 2568 คือปีแห่งโอกาสของ SME ที่จะเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อ “หนี้” — จากภาระเป็น พลังเร่งการเติบโต หากใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น OD, แฟคตอริ่ง, หรือสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างมีกลยุทธ์

► หนี้ที่ดี = ROI สูงกว่าดอกเบี้ย
► วงเงินกู้ = เครื่องมือเสริมสภาพคล่องและการลงทุน
► สินเชื่อที่เหมาะสม = กำไรและการเติบโตที่ยั่งยืน

👉 ต้องการวางแผนการเงินหรือหาสินเชื่อที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ?
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.easycashflows.com

7



วิเคราะห์กลุ่มธุรกิจที่เหมาะกับสินเชื่อsmeไม่มีหลักประกัน พร้อมเทคนิคขอวงเงินสูงในปี 2568 และเช็กลิสต์เอกสารที่ช่วยผ่านอนุมัติไว

บทนำ: ปี 2568 กับโอกาสใหม่ของ SME ไทย

ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยากขยายสาขา หรือผู้รับเหมาที่เพิ่งชนะงานประมูลใหญ่ สิ่งที่ขวางทางมักไม่ใช่โอกาส แต่คือ เงินทุน

ข่าวดีคือ ปี พ.ศ. 2568 สภาพแวดล้อมทางการเงินไทยเริ่ม “ผ่อนคลาย” กว่าปีก่อน ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเหลือ 1.50% (13 ส.ค. 2568) ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมในระบบต่ำลง อีกทั้งการยื่นแบบดิจิทัล (e-KYC/NDID) และมาตรการค้ำประกันจาก บสย. ทำให้ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เข้าถึงง่ายและเร็วกว่าเดิม

คำถามคือ — ธุรกิจของคุณ “เหมาะ” กับสินเชื่อแบบนี้หรือไม่?

กลุ่มธุรกิจที่เหมาะกับ “สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์”
1) กิจการที่มีออเดอร์/PO ต่อเนื่อง

เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วน ซัพพลายเออร์ค้าส่ง มักติดปัญหาเงินสดเข้า–ออกไม่พร้อมกัน สินเชื่อ SME แบบ วงเงินหมุนเวียน (OD/Inventory Loan) หรือ แฟคตอริ่ง ช่วยปิดช่องว่างนี้ได้ดี

🔑 ทริคผู้เชี่ยวชาญ: แนบ PO สัญญาซื้อขาย และประวัติชำระเงินตรงเวลา เพิ่มน้ำหนักการอนุมัติ

2) ร้านอาหาร คาเฟ่ และธุรกิจบริการ

ธุรกิจกลุ่มนี้เงินสดหมุนเร็ว แต่รายจ่ายก็เยอะ เช่น วัตถุดิบสด ค่าแรง และค่าโปรโมชัน การใช้ สินเชื่อ sme วงเงินหมุนเวียน จะคุมดอกเบี้ยได้ดีกว่าการกู้แบบผ่อนงวด

กรณีต้องอัปเกรดร้าน อาจใช้ สินเชื่อระยะสั้นแบบไม่ต้องค้ำ แยกต่างหาก เพื่อไม่เอาเงินกู้สั้นไปทำงานยาว

🔑 ทริค: แนบ รายงานยอดขาย POS และข้อมูลเดลิเวอรี เพื่อพิสูจน์ว่ากระแสเงินสดรองรับวงเงินได้จริง

3) ผู้รับเหมาก่อสร้าง–โลจิสติกส์

ต้อง “สำรองจ่าย” วัสดุและค่าแรงก่อน แต่รับเงินงวดทีหลัง การใช้ Trade Finance, PO Financing หรือ Invoice Financing ที่ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ จะช่วยให้กระแสเงินสดไม่สะดุด

4) ธุรกิจบริการรายเดือน (MA, Outsource, Cleaning)

รายได้ที่มาจาก สัญญาประจำ เช่น ทำความสะอาดหรือบำรุงรักษาเครื่องจักร ถือเป็นหลักประกันทางกระแสเงินสด ธนาคารจะมองว่ามีความมั่นคง

5) ผู้ส่งออก–ผู้ผลิตล็อตเล็ก

เมื่อดีมานด์ต่างประเทศมาเป็นรอบ การใช้ สินเชื่อระยะสั้นที่ผูกกับเอกสารการค้า (LC/TR/Export Financing) จะช่วยล็อกต้นทุนและหมุนเงินได้ทันโดยไม่ต้องใช้ที่ดินค้ำ

อยากได้วงเงินสูง ต้องเตรียมอะไร?

ในปี 2568 ธนาคารมีเกณฑ์พิจารณาชัดเจน โดย SME ที่อยากได้ สินเชื่อ SME วงเงินสูง ควรเน้น:

กระแสเงินสดต้องโปร่งใส – ใช้บัญชีธุรกิจแยกจากส่วนตัว โชว์ Bank Statement 6–12 เดือน

DSCR ≥ 1.2 – แสดงว่าสามารถชำระหนี้ได้อย่างมี buffer

หลักฐานรายได้ซ้ำ – เช่น สัญญาระยะยาวหรือประวัติการชำระตรงเวลา

เครดิตสะอาด 12 เดือนหลัง – ไม่มีหนี้ค้างชำระเกิน 30 วัน

ยื่นดิจิทัลครบชุด – ผ่าน NDID/e-KYC ลดเวลาอนุมัติ

ผลิตภัณฑ์ที่ SME เลือกใช้บ่อย (จับคู่โจทย์–เครื่องมือ)

เงินหมุนสั้น → OD/Working Capital

ต้องสั่งของ/สต๊อก → Trade/Inventory Finance

ลูกหนี้เครดิตเทอมยาว → แฟคตอริ่ง/Invoice Financing

ต้องใช้หนังสือค้ำ → Bank Guarantee (BG)

❌ หลีกเลี่ยงการใช้ OD ไปลงทุนระยะยาว เพราะจะเสียดอกเบี้ยเรื่อย ๆ โดยไม่ตัดต้น

สรุป: SME ไทยกับโอกาสใหม่ปี 2568

ปีนี้คือจังหวะทองของ สินเชื่อsmeไม่มีหลักประกัน  ทั้งจากนโยบายการเงินที่เอื้อ ดอกเบี้ยลดลง และการค้ำประกันจากภาครัฐ สำหรับผู้ประกอบการที่เตรียมตัวดี โปร่งใส และมีแผนธุรกิจชัดเจน โอกาสได้ สินเชื่อ SME วงเงินสูง ภายใต้เงื่อนไขที่สมเหตุสมผลอยู่แค่เอื้อม

👉 หากคุณกำลังมองหาสินเชื่อที่ตรงโจทย์ธุรกิจ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมหรือรับคำปรึกษาได้ที่ www.easycashflows.com


8


รู้จักการเลือกสินเชื่อเพื่อธุรกิจให้ตรงกับอุตสาหกรรม เจาะลึกกลยุทธ์ SME ขนส่ง ผู้รับเหมา และธุรกิจอาหาร พร้อมมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ปี 2568

บทนำ: ทำไม สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ถึงไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ย

ในปี 2568 ผู้ประกอบการ SME หลายรายกำลังเผชิญโจทย์คล้ายกัน — สภาพคล่องผันผวน ต้นทุนสูงขึ้น แต่โอกาสทางธุรกิจยังรออยู่มากมาย คำถามคือ “จะใช้เงินทุนอย่างไรให้ไม่ตึงมือ?”

การเลือก สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ได้วัดกันที่ “ดอกเบี้ยถูกสุด” อย่างเดียว แต่ต้องจับคู่ โครงสร้างวงเงิน ให้ตรงกับ โมเดลรายได้–รอบเงินสด–ความเสี่ยงเฉพาะอุตสาหกรรม เพราะถ้าเลือกพลาด ภาระผ่อนอาจกลายเป็นตัวฉุด แต่ถ้าเลือกถูก วงเงินกู้สามารถกลายเป็น ตัวเร่ง ROI และกำไร ได้ทันที

5 ขั้นคิด ก่อนเลือกสินเชื่อ
1) วัตถุประสงค์การใช้เงิน

สภาพคล่องหมุนเวียน: เหมาะกับวงเงินหมุนเวียน (OD, TR, LC) เช่นใน ธุรกิจขนส่ง ที่มักรอคู่ค้าจ่ายปลายเดือน

ลงทุนระยะยาว (Capex): เช่นเครื่องจักร, ครัวกลาง ใช้ Term Loan/เช่าซื้อ เหมาะกับ ผู้รับเหมา และ ธุรกิจอาหาร

ขยายตลาด/เปิดสาขาใหม่: ควรมีกันชน เช่น ปลอดเงินต้นบางงวด

รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ/ปรับโครงสร้าง: ลดต้นทุนรวมและทำให้จ่ายไหวขึ้น

🔎 มุมผู้เชี่ยวชาญ: การเขียน “วัตถุประสงค์หลัก–รอง” ชัดเจนตั้งแต่ต้น จะช่วยตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์เร็วขึ้น และยังเพิ่มอำนาจการเจรจากับธนาคาร

2) มองต้นทุนรวม ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ย

ธนาคารไม่ได้คิดแค่ดอกเบี้ย แต่ยังมีค่าธรรมเนียมวงเงิน, ค่าประเมิน, ค่าเบิกใช้, เบี้ยประกัน ฯลฯ รวมถึง “ต้นทุนเวลาอนุมัติ” ที่อาจทำให้พลาดโอกาส

💡 คำแนะนำ: ขอธนาคารทำ ตารางเงินสดจริง (Cash Flow Table) และคำนวณ Effective Rate / IRR / NPV จะเห็นภาพรวมมากกว่ามองเพียงตัวเลขดอกเบี้ย

3) เลือกวงเงินให้ตรงกับรอบกระแสเงินสด

OD/วงเงินหมุนเวียน: เหมาะกับรายได้ไม่แน่นอน ใช้จริงจ่ายจริง

TR/LC: สำหรับนำเข้า–ส่งออก ลดความจำเป็นต้องใช้เงินสดล่วงหน้า

Term Loan: ชัดเจน เหมาะกับลงทุนสินทรัพย์อายุยาว เช่น ครัวกลาง

เช่าซื้อ/ลีสซิ่ง: คุมกระแสเงินสด เหมาะสินทรัพย์ที่เปลี่ยนรุ่นเร็ว (รถบรรทุก, เครื่องครัว)

แฟคตอริ่ง: เปลี่ยนลูกหนี้การค้าเป็นเงินสด ทันรอบเครดิตเทอมยาว

❌ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ใช้ OD ไปลงทุนยาว → ดอกเบี้ยสูง + ไม่มีวินัยตัดเงินต้น

4) ตรวจสุขภาพหนี้: DSR และ DSCR

DSR (Debt Service Ratio): ภาระหนี้ต่อรายได้ ควรไม่เกิน 50%

DSCR (Debt Service Coverage Ratio): กระแสเงินสด ÷ ภาระหนี้ ควร ≥ 1.2–1.3 เท่า

📊 ตัวอย่าง: ธุรกิจผู้รับเหมาก่อสร้างมีกระแสเงินสด 450,000 บาท/เดือน ผ่อนเดิม 120,000 บาท ขอใหม่ 80,000 บาท → ภาระรวม 200,000 → DSR = 44.4% → อยู่ในเกณฑ์ แต่ยังต้องเผื่อ buffer หากงานสะดุด

5) เปรียบเทียบผู้ให้กู้หลายราย

ทำ “ตารางเทียบ” ระหว่าง ธนาคารพาณิชย์, สถาบันการเงินรัฐ, ฟินเทค ดูทั้งดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียม, SLA, สิทธิ์ปิดก่อนกำหนด ฯลฯ เลือกที่ให้ บาทต่อสภาพคล่องคุ้มที่สุด

มุมอุตสาหกรรม: ต้องเลือกสินเชื่อยังไงให้เข้าทางธุรกิจ?
🚚 สินเชื่อธุรกิจขนส่ง

ใช้เช่าซื้อรถบรรทุกควบคู่กับ OD/แฟคตอริ่ง

ควรคำนวณค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ยาง–ประกัน–GPS ตั้งแต่ต้น

เจรจาให้ผ่อนยืดหยุ่นตามฤดูกาลงาน

🔎 Insight: ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ชี้ว่า ธุรกิจขนส่งที่ต่อรองให้ “Grace Period” ช่วงเปลี่ยนรุ่นรถ จะช่วยลดแรงกดดันในไตรมาสแรกได้มาก

🏗️ สินเชื่อผู้รับเหมา

ใช้ OD ก่อสร้าง + TR/LC ซื้อวัสดุ + แฟคตอริ่งเร่งเงินสดจาก Progress Certificate

แยกเงินก้อนลงทุนเครื่องจักรออกจากเงินก้อนโครงการ

ระบุ Milestone ชำระตรงผู้ขายในสัญญาเงินกู้

🔎 Insight: การจัดโครงสร้างเงินกู้แบบ “Project Finance” จะทำให้ไซต์งานเดินต่อเนื่อง ลดโอกาสงานดีเลย์และกระทบเครดิต

🍲 สินเชื่อธุรกิจอาหาร

ลงทุนครัวกลาง/อุปกรณ์ผ่าน Term Loan หรือเช่าซื้อ

ใช้ OD/แฟคตอริ่งรับมือเครดิตเทอมจากโมเดิร์นเทรด

กันงบ Maintenance Reserve ไว้ป้องกันเครื่องจักรหยุดกระทันหัน

🔎 มุมผู้เชี่ยวชาญ: เจ้าของธุรกิจอาหารที่ทำ ROI Analysis ก่อนกู้ มักคืนทุนภายใน 12–18 เดือน และลดความเสี่ยงการจ่ายดอกเกินกำไร


สรุป

หัวใจของการเลือก สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่แค่ “ถูกหรือแพง” แต่คือ “เหมาะกับวงจรเงินสด–โมเดลรายได้–ความเสี่ยง” โดยเฉพาะใน สินเชื่อธุรกิจขนส่ง, สินเชื่อผู้รับเหมา, และสินเชื่อธุรกิจอาหาร ที่ต่างมีจังหวะรายได้ไม่เหมือนกัน

ปี 2568 คือโอกาสดี เพราะดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดในรอบหลายปี (1.50%) และกรอบการปล่อยกู้เน้นความโปร่งใส ผู้ประกอบการที่เตรียมแผนเงินสดชัดเจน จะไม่เพียง “ผ่านการอนุมัติ” แต่ยังได้วงเงินที่ช่วยเร่งการเติบโตอย่างยั่งยืน

👉 หากคุณต้องการทีมมืออาชีพช่วยวิเคราะห์แผนเงินสด–ออกแบบวงเงิน–เจรจากับธนาคาร สามารถปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.easycashflows.com

9

ความสับสนที่เจอจริงในสนามธุรกิจ

“อยากลดดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่าควรรีไฟแนนซ์ หรือปรับโครงสร้างหนี้?”
นี่คือคำถามที่ SME ไทยจำนวนมากในปี พ.ศ. 2568 กำลังเจอ เพราะสภาพเศรษฐกิจแม้จะผ่อนคลาย ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% แต่ต้นทุนการกู้จริงยังสูงถ้าไม่มีแผนการเงินที่ชัดเจน

บทความนี้จะเล่าแบบ Storytelling เปรียบเทียบสองเครื่องมือการเงินให้เห็นภาพจริง ว่าเมื่อไรควร “ย้ายบ้าน” (รีไฟแนนซ์) และเมื่อไรควร “คุยกับเจ้าของบ้านเดิม” (ปรับโครงสร้างหนี้) พร้อมสูตรคำนวณคร่าว ๆ และเช็กลิสต์เอกสารที่ช่วยเพิ่มโอกาสผ่าน

รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจคืออะไร?

รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การย้ายหนี้ไปเจ้าหนี้ใหม่ เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยต่ำลง ตารางผ่อนเหมาะสมขึ้น หรือรวมหลายหนี้ให้บริหารง่ายขึ้น

เหมาะกับธุรกิจที่:

กระแสเงินสดเริ่มนิ่ง มีสัญญาลูกค้าชัด

ต้องการลดดอกเบี้ยระยะยาว

อยากรวมหลายก้อนหนี้เป็นก้อนเดียวเพื่อคุมง่าย

📌 ตัวอย่าง: บริษัทสตาร์ทอัพขนส่ง มีหนี้ OD ดอก 12% และสินเชื่อเทอมโลนดอก 10% รวมภาระดอกสูง → หากรีไฟแนนซ์ไปเจ้าหนี้ใหม่ที่เสนอ 7.5% และรวมเป็นสัญญาเดียว จะช่วยลดภาระดอกต่อปีหลายแสนบาท

ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?

การปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) คือ การเจรจากับเจ้าหนี้เดิม เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญา เช่น ยืดระยะเวลา ลดค่างวด หรือพักชำระเงินต้นบางส่วน

เหมาะกับธุรกิจที่:

รายได้สะดุดชั่วคราว เช่น งานถูกเลื่อน ลูกค้าจ่ายช้า

กระแสเงินสดไม่พอจ่ายค่างวดเดิม

ต้องการ “หายใจต่อ” ทันที ไม่ได้เน้นดอกเบี้ยต่ำสุด แต่เน้น “ผ่อนให้ไหว”

📌 ตัวอย่าง: ร้านอาหาร SME รายหนึ่งหลังโควิดยอดขายตก ธนาคารยืดสัญญา 3 ปี ทำให้ค่างวดลดจาก 80,000 → 50,000 บาทต่อเดือน แม้ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาจะสูงขึ้น แต่ร้านได้เวลาฟื้นตัว

Insight: อัปเดตกติกาที่ SME ควรรู้ (ปี 2568)

ไม่คิดค่าปรับปิดก่อนกำหนด สำหรับสินเชื่อรายย่อยและ SME (ยกเว้นบ้านใน 3 ปีแรก)

ไม่คิดค่าธรรมเนียมปรับโครงสร้างหนี้ ตามมาตรการ “แก้หนี้ยั่งยืน” ของธปท.

ห้ามคิดดอกเบี้ยบนดอกเบี้ย (Interest on Interest) สำหรับหนี้ภายใต้กรอบดังกล่าว

💡 แปลว่า: ทั้งการรีไฟแนนซ์และปรับโครงสร้างหนี้ “ถูกลง” กว่าอดีต ทำให้ SME มีอำนาจต่อรองมากขึ้น

สูตรคำนวณจุดคุ้มทุน (Quick Check)

ส่วนต่างดอกเบี้ยต่อเดือน = (อัตราเดิม − อัตราใหม่) ÷ 12 × ยอดหนี้คงเหลือ

ตัวอย่าง:

หนี้ 5,000,000 บาท

ดอกเดิม 12% → ใหม่ 8%

ส่วนต่างต่อเดือน = (0.12 − 0.08)/12 × 5,000,000 = 16,667 บาท

ถ้ามีค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์รวม 120,000 บาท → จุดคุ้มทุน = 120,000 ÷ 16,667 ≈ 7.2 เดือน
✔ ถ้าตั้งใจถือสัญญาใหม่ยาวกว่า 7 เดือน คุ้ม
✘ ถ้าถือไม่นาน หรือต้องย้ายอีก อาจไม่คุ้ม

มองผ่านแว่นเครดิต: ทำไม DSCR สำคัญ?

ไม่ว่าคุณจะรีไฟแนนซ์หรือปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารจะถามคำเดียวว่า “ผ่อนแล้วไหวไหม?”

ตัวชี้วัดหลักคือ DSCR (Debt Service Coverage Ratio)

สูตร: DSCR = กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ÷ (เงินต้น+ดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด)

เกณฑ์ที่ปลอดภัย: ≥ 1.2–1.3 เท่า

📌 เช่น หากธุรกิจมีกระแสเงินสด 150,000 บาท/เดือน และภาระหนี้ 100,000 บาท → DSCR = 1.5 เท่า = “สบาย”
หาก DSCR ต่ำกว่า 1 หมายถึง “เงินสดไม่พอจ่ายหนี้” → ธนาคารมักปฏิเสธ

แผนที่การตัดสินใจ (Decision Map)

✅ รีไฟแนนซ์: เมื่อกระแสเงินสดนิ่ง, มีสัญญาลูกค้าระยะยาว, ถือสัญญาใหม่ได้ยาว

✅ ปรับโครงสร้างหนี้: เมื่อรายได้สะดุด, ต้องลดค่างวดทันที, รอฐานะดีขึ้นแล้วค่อยรีไฟแนนซ์

💡 หลายธุรกิจ SME ใช้ “สองสเต็ป” → ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเพื่อหายใจ แล้วรอจังหวะรีไฟแนนซ์อีกครั้ง

Storytelling: เคสจริง SME ไทย

บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์มีหนี้สั้นดอกสูง 4 ล้านบาท + หนี้ยาวดอก 10% อีก 3 ล้านบาท รวมแล้วจ่ายดอกเดือนละเกือบ 100,000 บาท

Step 1: ปรับโครงสร้างหนี้ 6 เดือนกับเจ้าหนี้เดิม ลดแรงจ่ายค่างวดทันที และผูกตารางผ่อนกับฤดูกาลขาย

Step 2: เมื่อยอดขายฟื้น มีสัญญาลูกค้า 2 ปีแน่นอน จึงรีไฟแนนซ์ไปเจ้าหนี้ใหม่ รวมเป็นก้อนเดียวดอกเฉลี่ย 7.5%

ผลลัพธ์: DSCR ขยับจาก 1.05 → 1.4 เท่า และประหยัดดอกเบี้ยต่อปีหลายแสนบาท

เช็กลิสต์เอกสารที่ต้องเตรียม

Executive Summary หน้าเดียว (วัตถุประสงค์–หนี้เดิม–ผลลัพธ์คาดหวัง)

งบการเงินล่าสุด + Bank Statement 6–12 เดือน

ตารางหนี้เดิม (ยอดคงค้าง–อัตราดอก–วันครบกำหนด)

Cash Flow Forecast “ก่อน–หลังดีล”

สัญญาลูกค้าระยะยาว/PO (ถ้ามี)

ตรวจเงื่อนไข Prepayment Fee และค่าธรรมเนียมตามกรอบธปท.

ข้อผิดพลาดที่เจอบ่อย

โฟกัสดอกต่ำ แต่ไม่คิดค่าธรรมเนียมรวม → ดีลไม่คุ้มจริง

เอกสารไม่ชัด “เล่าเรื่องไม่ได้” → เจ้าหน้าที่เครดิตอ่านยาก ตัดสินใจช้า

ขอรีไฟแนนซ์ทั้งที่รายได้ยังไม่นิ่ง → โอกาสผ่านต่ำ

กลัวคำว่า “ปรับโครงสร้างหนี้” → จริง ๆ ถ้าแผนสมเหตุสมผล เป็นเครื่องมือช่วยธุรกิจยืนระยะ

สรุป: จะเลือกแบบไหนให้คุ้ม?

ถ้าเป้าหมายคือ ลดดอกเบี้ยธุรกิจ และกระแสเงินสดนิ่ง → รีไฟแนนซ์ คุ้มกว่า

ถ้าต้องการ ลดแรงกดดันค่างวดทันที เพื่อพยุงกิจการ → ปรับโครงสร้างหนี้ คือคำตอบ

อย่าลืมคำนวณจุดคุ้มทุน, ตรวจเงื่อนไขค่าธรรมเนียม, และแสดง DSCR ที่ดีขึ้น

👉 หากคุณเป็นเจ้าของ SME ที่กำลังตัดสินใจ รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจหรือปรับโครงสร้างหนี้
ขอคำปรึกษาและเปรียบเทียบข้อเสนอหลายสถาบันได้ที่ www.easycashflows.com

10


ก้าวแรกของผู้ประกอบการกับความท้าทายเรื่อง “เงินทุน”

ภาพที่หลายคนคุ้นเคยเมื่อเริ่มต้นธุรกิจใหม่คือการทุ่มแรง ทุ่มเวลา และบางครั้งต้องทุ่มเงินส่วนตัวไปกับค่าเช่าที่ ค่าตกแต่งร้าน หรือซื้อวัตถุดิบล็อตแรก แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเดิน เงินทุนหมุนเวียนกลับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ตามมา เช่น จะเอาที่ไหนมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน? จะเอาเงินที่ไหนซื้อวัตถุดิบเพิ่มถ้าได้ออร์เดอร์กะทันหัน?

นี่คือจุดที่ “ สินเชื่อระยะสั้น” เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 ที่ระบบการเงินไทยปรับตัวเอื้อต่อ SME มากขึ้น สถาบันการเงินหลายแห่งออกแบบผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ แม้จะยังไม่มีงบการเงินย้อนหลัง แต่ก็สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ หากมีการเตรียมตัวที่ถูกทาง

สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นคืออะไร?

พูดง่าย ๆ ก็คือ วงเงินกู้ที่ให้ธุรกิจใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงสั้น ๆ (ไม่เกิน 12 เดือน) จุดเด่นคือความ คล่องตัวและยืดหยุ่น ใช้แล้วคืนได้ตามรอบที่ธุรกิจต้องการ โดยทั่วไปมี 4 รูปแบบหลักที่ผู้ประกอบการรายใหม่มักเจอ:

วงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) → เบิกใช้ได้เกินยอดฝากจริง เสียดอกเบี้ยเฉพาะยอดที่ใช้

ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) → ยืมเงินเป็นก้อน มีระยะเวลาชำระชัดเจน เช่น 60–90 วัน

สินเชื่อเพื่อการค้า (Trade Finance) → ครอบคลุมการนำเข้า–ส่งออก เช่น L/C, T/R

สินเชื่แฟคตอริ่ง (Factoring) → เปลี่ยนใบแจ้งหนี้หรือลูกหนี้การค้าเป็นเงินสดทันที

ผู้ประกอบการรายใหม่กู้ได้ไหม?

คำตอบคือ ได้ แต่ไม่ง่ายเท่าธุรกิจที่มีงบการเงินหลายปีให้ดู เนื่องจากธนาคารมักกังวลเรื่อง “ความเสี่ยง” ของกิจการใหม่ที่ยังไม่มีประวัติรายได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มโอกาสคือการ เล่าเรื่องธุรกิจให้น่าเชื่อถือ ผ่านเอกสารและการวางแผนที่ชัดเจน

5 เงื่อนไขสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสอนุมัติ
1) แผนธุรกิจที่จับต้องได้

แผนธุรกิจไม่ใช่แค่ไฟล์ Word สวย ๆ แต่คือการเล่าเรื่องให้ธนาคารเชื่อว่า “ธุรกิจนี้ไปได้จริง” ควรใส่ข้อมูลตลาด คู่แข่ง แผนรายได้ และแผนการเงิน รวมถึง วิธีชำระหนี้

📊 งานวิจัยของธนาคารกสิกรไทยชี้ว่า ผู้กู้ที่มีแผนธุรกิจชัดเจนมีโอกาสอนุมัติสูงกว่าผู้ที่ไม่มีแผนถึง 30%

2) หลักฐานรายได้อนาคต

ผู้ประกอบการใหม่มักยังไม่มีงบการเงินย้อนหลัง แต่สิ่งที่ช่วยได้คือ ใบสั่งซื้อ (PO), สัญญาจ้าง, หรือ MOU กับลูกค้าหลัก เพราะแสดงให้เห็นว่ามีเงินเข้าจริงในอนาคต

📌 ข้อมูลจาก SCB ระบุว่า ธุรกิจที่มี PO หรือสัญญาจ้าง มีโอกาสอนุมัติสูงขึ้นถึง 45%

3) ประวัติเครดิตส่วนตัว

เจ้าของกิจการคือตัวแทนธุรกิจในสายตาธนาคาร ถ้าคุณชำระบัตรเครดิตตรงเวลา ไม่ค้างหนี้ ก็เป็นแต้มบวกทันที ตรงกันข้าม ถ้ามีประวัติผิดนัด ธนาคารจะมองว่าธุรกิจอาจมีพฤติกรรมการเงินที่ไม่มั่นคงเช่นกัน

4) ผู้ค้ำประกันหรือหลักทรัพย์ค้ำ

แม้จะเป็น สินเชื่อระยะสั้น แต่การมีผู้ค้ำที่น่าเชื่อถือ หรือหลักทรัพย์ เช่น ที่ดินหรือเงินฝาก จะช่วยให้วงเงินที่ขอมีโอกาสผ่านง่ายขึ้น

5) ใช้บริการค้ำประกันจาก บสย.

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) คือ “ไม้ตาย” ของ SME รายใหม่ เพราะช่วยค้ำประกันแทนผู้ประกอบการ ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้มากขึ้น

📈 ปี 2567 มีผู้ประกอบการรายใหม่กว่า 15,000 ราย ได้รับการค้ำประกัน คิดเป็นวงเงินรวมกว่า 25,000 ล้านบาท และในปี 2568 บสย. ยังคงเดินหน้าโครงการนี้ต่อเนื่อง

ขั้นตอนการเตรียมตัวขอสินเชื่อ

เขียนแผนธุรกิจให้ชัดเจน – อธิบายจุดแข็ง ตลาด และตัวเลขเงินสด

แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว – ทำให้ธนาคารเห็นการหมุนเวียนเงินที่แท้จริง

รวบรวมเอกสาร – เช่น หนังสือจดทะเบียนธุรกิจ, ใบสั่งซื้อ, สัญญาจ้าง, หลักทรัพย์ (ถ้ามี)

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ – ที่ปรึกษาทางการเงินหรือธนาคาร เพื่อเข้าใจเงื่อนไขลึก ๆ

เปรียบเทียบหลายสถาบัน – เพราะแต่ละที่มีเรตดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างกัน

เทคนิคเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่

เริ่มขอวงเงินเล็กก่อน → เพื่อสร้างเครดิตและค่อย ๆ ขยายวงเงิน

สร้างความสัมพันธ์กับธนาคาร → เปิดบัญชีธุรกิจ ใช้บริการอื่น ๆ ให้ธนาคารเห็นการหมุนเงิน

มีแผนสำรอง → เช่น การหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ เผื่อกรณีไม่ได้วงเงินเต็ม

พัฒนาทักษะการนำเสนอ → เล่าเรื่องธุรกิจให้เป็นภาพชัด เข้าใจง่าย

สรุป: ก้าวแรกที่มั่นใจได้มากขึ้น

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่เต็มไปด้วยความท้าทาย และหนึ่งในนั้นคือ เงินทุนหมุนเวียน สินเชื่อระยะสั้นอาจเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงกิจการให้ผ่านช่วงแรกไปได้อย่างมั่นใจ

แม้การขอสินเชื่อ SME สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่จะไม่ง่าย แต่หากคุณมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีหลักฐานรายได้อนาคต รักษาวินัยเครดิต และใช้เครื่องมืออย่างการค้ำประกันจาก บสย. ก็สามารถเพิ่มโอกาสอนุมัติและสร้างเส้นทางการเงินที่มั่นคงได้

👉 สนใจวางแผนการเงินหรือหาสินเชื่อที่เหมาะกับธุรกิจใหม่ของคุณ? เยี่ยมชม www.easycashflows.com
 เพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

11

เจาะลึกสินเชื่อสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ปี 2568 วงเงินสูง ระยะผ่อนยาว ดอกเบี้ยพิเศษ เหมาะกับกู้สร้างโรงงาน ขยายโครงการ และลงทุนเครื่องจักร พร้อมคำแนะนำธุรกิจ

จุดเริ่มต้น: จากความฝันสู่ “แผนกู้สร้างโรงงาน”

หลายคนที่เริ่มต้นธุรกิจการผลิตคงเคยฝันว่า “วันหนึ่งจะมีโรงงานของตัวเอง” แต่เมื่อเดินมาถึงจุดที่ออร์เดอร์โต เครื่องจักรเต็มกำลัง ผลิตไม่ทัน — คำถามที่ตามมาคือ “จะเอาเงินจากไหนมาสร้างโรงงานใหม่?”

ในปี พ.ศ. 2568 ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากกำลังเผชิญโจทย์นี้ เพราะตลาดเริ่มฟื้น อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve, BCG, Green Industry) ได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐ ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินก็ออกผลิตภัณฑ์ สินเชื่อสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ที่ตรงโจทย์กว่าเดิม

ทำไมกู้สร้างโรงงาน “สำคัญกว่าที่คิด”

ต่างจากสินเชื่อธุรกิจทั่วไปที่วงเงินอาจจำกัดและผ่อนสั้น สินเชื่อพัฒนาโครงการโรงงาน ถูกออกแบบมาสำหรับการลงทุนที่ใหญ่และคืนทุนช้า

วงเงินสูง หลายร้อยล้านบาท เพื่อรองรับกู้สร้างโรงงาน เครื่องจักร และโครงสร้างพื้นฐาน

ระยะผ่อนยาว 10–15 ปี สอดคล้องกับรอบคืนทุนในอุตสาหกรรม

ปลอดเงินต้น 6–24 เดือนแรก ให้เวลาสร้างโรงงาน ติดตั้งระบบ ก่อนมีรายได้จริง

ดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล พลังงานสะอาด อาหารแปรรูป

หลักประกันยืดหยุ่น ใช้ที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง/เครื่องจักร หรือใช้ บสย. ค้ำเสริม

กล่าวง่าย ๆ คือ มันคือ “น้ำมันหล่อลื่น” ของธุรกิจการผลิต ที่ทำให้การขยายโรงงานเป็นจริงได้

ใช้สินเชื่อโรงงานทำอะไรได้บ้าง?
1) กู้สร้างโรงงานใหม่หรือขยายพื้นที่

ค่าออกแบบ ก่อสร้างอาคาร

ระบบสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำบาดาล โรงบำบัด)

ค่าอนุญาตก่อสร้าง (รง.4)

2) ซื้อเครื่องจักรหรืออัปเกรดการผลิต

เครื่องจักรใหม่เพิ่มกำลังการผลิต

ระบบ Automation และหุ่นยนต์

เทคโนโลยี Green Factory ลดต้นทุนพลังงาน

3) รีไฟแนนซ์หนี้เดิม

ลดดอกเบี้ยจากสัญญาเก่า

ยืดอายุหนี้ให้ตรงกับกระแสเงินสด

ปรับโครงสร้างหนี้โรงงานให้ง่ายต่อการบริหาร

4) เงินทุนหมุนเวียนช่วงเริ่มผลิต

ซื้อวัตถุดิบล็อตแรก

จ่ายค่าแรง–ค่าสาธารณูปโภค

กันสำรองระหว่างรอขายสินค้า

ใครบ้างที่ควรพิจารณาสินเชื่อโรงงาน?

ผู้ประกอบการรายใหม่
ที่มีความรู้ในอุตสาหกรรมและอยากตั้งโรงงานเป็นของตัวเอง

ธุรกิจที่กำลังโต
ออร์เดอร์ล้น กำลังการผลิตไม่พอ ต้องขยายสายการผลิต

โรงงานเก่าอยากรีโนเวท
เครื่องจักรล้าสมัย ผลิตไม่ทันต้นทุนคู่แข่ง

ธุรกิจย้ายฐานการผลิต
จากในเมืองไปนิคมอุตสาหกรรม เพื่อลดค่าเช่าและโลจิสติกส์

ผู้ประกอบการอยากเปลี่ยนสายผลิต
เช่น จาก OEM ไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในตลาด (อัปเดต 2568)

กรุงศรีอยุธยา – สินเชื่ออุตสาหกรรม วงเงินสูงสุด 500 ลบ. ดอกเบี้ยพิเศษอุตสาหกรรมดิจิทัล–พลังงานสะอาด ผ่อน 10 ปี ปลอดเงินต้น 12 เดือน

SME D Bank – สินเชื่อเครื่องจักร วงเงิน 50 ลบ. ดอกต่ำ ผ่อน 7 ปี ปลอดเงินต้น 6–12 เดือน ใช้เครื่องจักรเป็นหลักประกัน

EXIM Bank – สินเชื่อพัฒนาโรงงานส่งออก ไม่มีเพดานวงเงินสูงสุด ผ่อน 15 ปี มีที่ปรึกษาการค้าระหว่างประเทศ และโปรแกรมพิเศษ Green Industry

Storytelling: กรณีตัวอย่างโรงงาน SME

คุณพี เจ้าของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ในสมุทรสาคร เริ่มจากโรงงานเล็ก ๆ แต่พอได้ดีลกับโมเดิร์นเทรด ออร์เดอร์พุ่ง 2 เท่าในปี 2567

ปัญหาคือ โรงงานเดิมผลิตไม่ทัน คุณพีเลือกขอ สินเชื่อกู้สร้างโรงงาน 80 ล้านบาท จาก SME D Bank โดยใช้ที่ดิน + เครื่องจักรใหม่ค้ำประกัน พร้อมวงเงินหมุนเวียนอีก 10 ล้านบาทสำหรับวัตถุดิบ

ผลลัพธ์ในปี 2568 คือ…

กำลังผลิตเพิ่มขึ้น 150%

ได้ออเดอร์ส่งออกล็อตแรกไป CLMV

DSCR ของบริษัทปรับจาก 1.1x → 1.5x ทำให้มีเครดิตที่ดีขึ้นสำหรับอนาคต

นี่คือภาพจริงว่า สินเชื่อโรงงานไม่ใช่แค่หนี้ แต่คือ “เครื่องเร่งการเติบโต”

คำแนะนำจากที่ปรึกษาสินเชื่อ

เตรียม Business Plan 3–5 ปี ครอบคลุมการเงิน การตลาด ความเสี่ยง

เอกสารให้ครบ เช่น งบการเงินย้อนหลัง, Ror.Ngor.4, ใบเสนอราคาเครื่องจักร

หลักประกันต้องชัด มูลค่าควร 1.5–2 เท่าของวงเงินกู้

ใช้มาตรการรัฐ เช่น ค้ำประกัน บสย. หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอุตสาหกรรมเป้าหมาย

เปรียบเทียบหลายสถาบัน เลือกดีลที่ “บาทต่อสภาพคล่อง” คุ้มที่สุด ไม่ใช่ดอกต่ำสุด

สรุป

ปี 2568 คือปีทองของการลงทุนอุตสาหกรรมในไทย ด้วยดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% และโครงการสนับสนุนจากรัฐ สินเชื่อสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่อยากขยายกำลังผลิต รีไฟแนนซ์ หรือกู้สร้างโรงงาน

👉 ถ้าคุณกำลังคิดจะลงทุนโรงงาน นี่คือเวลาที่ควรวางแผนการเงินและหาสินเชื่อที่เหมาะสมที่สุด

สนใจวางแผนสินเชื่อโรงงานให้ธุรกิจของคุณ?
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่ www.easycashflows.com

12


ลองจินตนาการว่าคุณคือเจ้าของธุรกิจที่กำลังจะขยายโรงงาน เปิดสาขาใหม่ หรือเพิ่มเครื่องจักรในสายการผลิต สิ่งแรกที่ต้องถามตัวเองคือ “เอาเงินจากไหน?”

ปี พ.ศ. 2568 การเข้าถึง สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ยังเป็นหัวใจสำคัญของ SME และเจ้าของกิจการ โดยเฉพาะ สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ความจริงแล้วนี่คือเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงวงเงินสูง ในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน

สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันคืออะไร?

พูดง่าย ๆ คือ การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินโดยมี “ทรัพย์สิน” มาวางค้ำประกัน หากผิดนัดชำระ เจ้าหนี้สามารถยึดหลักทรัพย์ไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้

นี่คือเหตุผลว่าทำไม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า สินเชื่อธุรกิจที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คิดเป็นกว่า 70% ของสินเชื่อเพื่อธุรกิจทั้งหมดในไทย เพราะมันเป็น win-win ทั้งสองฝ่าย → เจ้าของธุรกิจได้เงินกู้ในเงื่อนไขดีขึ้น ส่วนสถาบันการเงินลดความเสี่ยงลง

หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันได้ (อัปเดต 2568)
🏠 อสังหาริมทรัพย์ (Immovable Property)

ที่ดินเปล่า

ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคารพาณิชย์ โรงงาน

คอนโดมิเนียม / อาคารสำนักงาน

✅ ได้วงเงินสูง ประเมินง่าย
⚠️ ต้องมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.4 จ.

🚗 สังหาริมทรัพย์ (Movable Property)

รถยนต์ส่วนบุคคล/รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์

เครื่องจักร/อุปกรณ์การผลิต

ทองคำ/เครื่องประดับมีมูลค่า

หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม

บัญชีเงินฝากประจำ

✅ เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย
⚠️ มักถูกประเมินมูลค่าต่ำกว่าตลาดจริง

📎 หลักทรัพย์อื่น ๆ / บุคคลค้ำประกัน

บุคคลค้ำประกันที่มีเครดิตดี

กรมธรรม์ประกันชีวิต (บางประเภท)

สัญญารับเงินล่วงหน้า เช่น สัญญาจ้างที่มีรายได้แน่นอน

Insight: ทำไมผู้ประกอบการยังเลือก “สินเชื่อมีหลักทรัพย์”

ปี 2568 หลายธุรกิจเจอสถานการณ์ ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% ทำให้ต้นทุนกู้ยืมต่ำลง แต่ธนาคารยังคงระมัดระวังปล่อยกู้ SME ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ

การมีหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงเป็น “แต้มต่อ” สำคัญ

ได้วงเงินสูงกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน (บางกรณีสูงถึง 70–90% ของมูลค่าหลักทรัพย์)

ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเฉลี่ย 2–4% ต่อปี

เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการยื่นขอสินเชื่อ

ข้อดีและข้อควรระวัง
✅ ข้อดี

ดอกเบี้ยถูกกว่าและวงเงินสูงกว่า

มีเวลาผ่อนชำระยาว (7–15 ปีขึ้นไป)

ใช้ได้ทั้งลงทุนใหม่หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม

⚠️ ข้อควรระวัง

ต้องมีทรัพย์สินพร้อมเอกสารสิทธิ์ชัดเจน

กระบวนการอนุมัติอาจใช้เวลานานกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน

หากผิดนัดชำระ → เสี่ยงสูญเสียหลักทรัพย์

เรื่องเล่าจากผู้ประกอบการ (Storytelling)

คุณสมชาย เจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในสมุทรปราการ ต้องการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับออเดอร์ส่งออก เขามีที่ดินพร้อมโฉนดมูลค่า 20 ล้านบาท สมชายตัดสินใจยื่นขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ธนาคารประเมินให้วงเงิน 15 ล้านบาท (75% ของมูลค่าที่ดิน)

ดอกเบี้ยเฉลี่ย 6% ต่อปี ระยะเวลาผ่อน 10 ปี

วงเงินนี้ช่วยให้สมชายซื้อเครื่องจักรใหม่และเพิ่มกำลังผลิต 30% ภายในปีแรก

นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่า “สินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” ไม่ได้เป็นแค่เงินกู้ แต่เป็น สะพานที่พาธุรกิจโตได้จริง

จะเลือกสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์อย่างไรให้คุ้ม?

ประเมินกระแสเงินสด ก่อน → ต้องมั่นใจว่ามีรายได้พอจ่ายค่างวด

เลือกหลักทรัพย์ที่ประเมินง่ายและถูกต้องตามกฎหมาย

เปรียบเทียบข้อเสนอหลายธนาคาร ทั้งดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไข

ทำแผนธุรกิจชัดเจน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ธนาคารอนุมัติ

สรุป

ปี 2568 สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ยังคงเป็น แหล่งเงินทุนหลักของ SME ไทย เพราะช่วยให้เข้าถึง วงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และมีเงื่อนไขผ่อนยาว

หากคุณคือเจ้าของกิจการที่มีทรัพย์สินพร้อม การใช้เป็นหลักค้ำประกันอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในการขยายธุรกิจ

Call to Action

กำลังมองหา สินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน?
รับคำปรึกษาเชิงลึก + เปรียบเทียบข้อเสนอหลายสถาบันได้ที่
🌐 www.easycashflows.com

13
อื่น ๆ / สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กคืออะไร?
« เมื่อ: กันยายน 02, 2025, 04:44:32 AM »


สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก หรือ สินเชื่อsme เป็นวงเงินกู้ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ประกอบการในการเสริมสภาพคล่อง ลงทุน หรือขยายกิจการ แตกต่างจากสินเชื่อส่วนบุคคลตรงที่ให้วงเงินสูงกว่า และเงื่อนไขเหมาะกับการทำธุรกิจโดยเฉพาะ

ปี 2568 การแข่งขันของสถาบันการเงินทำให้สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเข้าถึงง่ายขึ้น วงเงินอนุมัติบางแห่งสูงถึง 5–20 ล้านบาท หากธุรกิจมีแผนชัดเจนและกระแสเงินสดดี

ประเภทสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่นิยม

สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน / ระยะสั้น: สำหรับค่าใช้จ่ายประจำ ซื้อวัตถุดิบ หรือรองรับออร์เดอร์ใหม่ กู้ไม่เกิน 1 ปี

สินเชื่อ OD (Overdraft): เบิกเกินบัญชี ใช้ยืดหยุ่น จ่ายดอกเฉพาะยอดที่ใช้จริง

สินเชื่อแฟคตอริ่ง(Factoring): เปลี่ยนใบแจ้งหนี้ (Invoice) เป็นเงินสดทันที ช่วยแก้ปัญหาเครดิตเทอมยาว

สินเชื่อเช่าซื้อ/ลีสซิ่ง: เหมาะกับการซื้อเครื่องจักรหรือรถเพื่อธุรกิจ

สินเชื่อเพื่อการลงทุนระยะยาว: ใช้สำหรับขยายกิจการ สร้างสาขา หรือซื้อเครื่องมือขนาดใหญ่

คุณสมบัติที่ธนาคารมองหา

ประวัติการเงินดี – ไม่มีหนี้เสียหรือค้างชำระ

ความมั่นคงของธุรกิจ – มียอดขายหรือสัญญาลูกค้าแน่นอน

ความสามารถชำระหนี้ (DSCR ≥ 1.5 เท่า) – กระแสเงินสดพอจ่ายหนี้

หลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน – แม้บางสินเชื่อจะไม่ต้องใช้ แต่การมีเพิ่มความมั่นใจให้ธนาคาร

เอกสารครบถ้วน – งบการเงิน แผนธุรกิจ ใบสั่งซื้อ/สัญญาลูกค้า

เทคนิคขออนุมัติให้ผ่านไว

จัดทำ แผนธุรกิจชัดเจน แสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายและการชำระหนี้

ปรับปรุง เครดิตส่วนตัว ของเจ้าของกิจการให้ดี

เตรียม เอกสารครบ และเป็นระบบ ลดเวลาตรวจสอบ

เลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ เช่น ถ้าเน้นเงินสดเร็ว ใช้ Factoring ถ้าเน้นความยืดหยุ่น ใช้ OD

ใช้ โครงการสนับสนุนจากรัฐ/บสย. ช่วยค้ำประกัน เพิ่มโอกาสอนุมัติ

สรุป

สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กในปี 2568 ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเดิมอีกต่อไป ผู้ประกอบการ SME ที่เตรียมตัวดี มีแผนธุรกิจและเอกสารครบ จะเข้าถึงวงเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อระยะสั้น, OD หรือ Factoring เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคง

👉 สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรืออยากปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อ SME เข้าไปที่ www.easycashflows.com

14

เงินหมุน” คือเส้นเลือดที่ทำให้ธุรกิจวิ่งต่อได้ สินเชื่อระยะสั้น จึงถูกออกแบบมาเพื่ออุดช่องว่างกระแสเงินสดในจังหวะที่รายได้เข้าช้ากว่า “ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย” โดยทั่วไป สินเชื่อเพื่อธุรกิจระยะสั้น หมายถึงวงเงินกู้ที่มีอายุสัญญา ไม่เกิน 12 เดือน ใช้เพื่อรองรับดีมานด์ที่มาเร็ว–ไปเร็ว หรือเพื่อเร่งการหมุนสต็อกโดยไม่ต้องล็อกค่างวดระยะยาว
เลือกเครื่องมือให้ “ตรงงาน”: 3 ฉากธุรกิจที่เจอบ่อย
1) ร้านอาหาร/คาเฟ่: สต็อกต้องพร้อมในไฮซีซัน

โจทย์: เติมวัตถุดิบล่วงหน้า + ทำโปรโมชันช่วงเทศกาล
เครื่องมือแนะนำ:

สินเชื่อOD สำหรับซื้อวัตถุดิบ/ค่าแรงระยะสั้น — เสียดอกตามยอดใช้จริง ไม่ทำให้ค่างวดตายตัวบีบกระแสเงินสด

แฟคตอริ่ง (ถ้าขายให้บริษัท/เดลิเวอรีแพลตฟอร์มที่มีเครดิตเทอม) — เปลี่ยนบิลช้าให้เป็นเงินสดเร็ว
เหตุผลเชิงกลยุทธ์: รายได้รูปแบบร้านอาหารเหวี่ยงตามวัน/สัปดาห์ การใช้ OD ช่วย “ยืด–หด” เงินหมุนให้ล้อกับยอดขาย ขณะที่แฟคตอริ่งตัดความเสี่ยง “เงินเข้าไม่ทันรอบจ่าย”

2) ผู้รับเหมาก่อสร้าง/ซัพพลายเออร์: เงินเข้าไกล 45–90 วัน

โจทย์: มี PO แล้ว แต่ต้องสำรองค่าวัสดุและค่าแรงก่อน เงินรับจริงมาช้า
เครื่องมือแนะนำ:

Trade Finance/Inventory Loan ระหว่างสั่งซื้อวัสดุ

Invoice Financing หลังส่งงาน–วางบิล
เหตุผลเชิงกลยุทธ์: จับคู่เงินกู้กับ “จังหวะเงินจริงเข้า” จะลดโอกาสใช้เงินผิดประเภท (เช่น เอา OD ไปลงทุนงานยาว) และลดดอกสะสมโดยไม่จำเป็น

3) ร้านค้าออนไลน์/รีเทล: Flash Sale มา–ต้องเติมสต็อก

โจทย์: ต้องเติมสต็อกและงบโฆษณาเร็ว เพื่อทันหน้าต่างยอดขายสั้น
เครื่องมือแนะนำ:

วงเงินหมุนเวียนสั้น (OD/Inventory Loan)

BG (บางราย) สำหรับทำสัญญาขายส่งกับ Marketplace/คู่ค้ารายใหญ่
เหตุผลเชิงกลยุทธ์: เงินเข้าเร็ว–ออกเร็ว จึงเน้นวงเงินที่เบิกง่าย ปิดได้ไว และไม่ล็อกค่างวดยาวเกินความจำเป็น

หมายเหตุสำคัญ: ถ้าต้องลงทุน “สินทรัพย์กึ่งถาวร” เช่น เครื่องชงกาแฟ ตู้อบ ตู้แช่ ให้พิจารณา เทอมโลน แยกต่างหาก อายุสัญญาควรใกล้เคียงอายุการใช้งาน เพื่อลดความเสี่ยง “ใช้เงินสั้นทำงานยาว”

วิธีเลือก สินเชื่อระยะสั้นให้คุ้มในปี 2568 (มินิเช็กลิสต์)

เริ่มจากกระแสเงินสดจริง (Bank Statement)
ดูรอบเงินเข้า–ออกของกิจการก่อน แล้วเลือกวงเงินที่ “วิ่งตามจังหวะจริง” ไม่ใช่เลือกตามโปรโมชันเพียงอย่างเดียว

ดูต้นทุนแบบภาพรวม (Total Cost)
อย่าดูแค่ดอกเบี้ยพาดหัว ให้รวมค่าธรรมเนียม, วิธีเบิกใช้, ค่าปรับปิดก่อนกำหนด, และค่าเสียโอกาสจาก “ระยะอนุมัติ” เข้ามาคิดด้วย

จับคู่ “เครื่องมือ–งาน–เวลา”

สั้น–เหวี่ยง: OD/Inventory Loan

มีเอกสารการค้า: Trade Finance

ลูกหนี้เทอมยาว: แฟคตอริ่ง/Invoice Financing

ประมูลงาน/เงื่อนไขสัญญา: BG

ใช้ “ค้ำประกัน บสย.” เป็นตัวคูณโอกาส
ถ้าไม่มีหลักทรัพย์ ให้ถามทันทีว่าดีลนี้ใช้ค้ำ บสย. ได้หรือไม่—ปีนี้ทั้งยอดค้ำครึ่งปีและมาตรการพิเศษถูกขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อ SMEs โดยตรง.

ติดตามนโยบายการเงิน–สินเชื่อรัฐ
การลดดอกเบี้ยนโยบายและการขยับเรตของสถาบันการเงินของรัฐ ส่งผลต่อต้นทุนกู้อย่างจับต้องได้ อย่าลืมอัปเดตเงื่อนไขก่อนตัดสินใจ.

ตัวช่วยเชิงนโยบาย “ที่ใช้ได้จริง” ในปี 2568

ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% (มีผล 13 ส.ค. 2568): เป็นแรงหนุนเชิงระบบต่อเรตปล่อยกู้ในตลาด แม้แต่ละผลิตภัณฑ์ยังอิงความเสี่ยงลูกหนี้.

SME D Bank ลดดอกสูงสุด 0.25% (เริ่ม 15 ส.ค. 2568): สัญญาณบวกสำหรับผู้กู้ใหม่/รีไฟแนนซ์ในพอร์ตธุรกิจ.

บสย. ค้ำประกันเข้มข้น: ครึ่งปีแรกค้ำรวมราว 1.94 หมื่นล้านบาท ช่วยกว่า 2.1 หมื่นราย + มาตรการพิเศษ 5,000 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีหลัง/กลุ่มเฉพาะ.

ค้ำเช่าซื้อ “รถกระบะเชิงพาณิชย์” 5,000 ล้านบาท: ช่วยผู้ประกอบการโลจิสติกส์/ช่างบริการ/ค้าส่ง–ค้าปลีกที่ใช้รถทำกินเข้าถึงสินเชื่อสะดวกขึ้น.

สรุปสั้นสำหรับผู้ประกอบการ

ถ้าธุรกิจของคุณ “รายได้เข้าช้ากว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย” หรือกำลังไล่คว้าโอกาสขายที่มาเร็ว–ไปเร็ว สินเชื่อระยะสั้น คือเครื่องมือที่ใช่—แต่ต้อง เลือกให้ตรงงาน: ใช้ OD/Inventory เพื่อเงินหมุน, ใช้ Trade Finance เมื่อต้องสั่งของ–นำเข้า, ใช้แฟคตอริ่งเมื่อมีบิลเทอมยาว, และใช้ BG เมื่อดีลต้องการหนังสือค้ำฯ ปี 2568 มีแรงหนุนจากนโยบายดอกเบี้ยที่ลดลง, โปรแกรมลดดอกของ SME D Bank, และค้ำประกันจาก บสย. หลายแพ็กเกจ ทำให้ต้นทุนรวม “ผ่อนลงได้จริง” เมื่อจัดโครงสร้างถูกต้อง

อยากได้วงเงินให้ “คุ้มกับกระแสเงินสด” มากที่สุด?
วางแผนก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ คิดต้นทุนแบบทั้งก้อน และถามเสมอว่า “ดีลนี้ใช้ค้ำ บสย. ได้ไหม” เพื่อปลดล็อกเงื่อนไขที่ดีกว่า

ปรึกษาฟรีกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อคัดวงเงิน–เงื่อนไขที่เข้ากับธุรกิจของคุณ:
www.easycashflows.com

15

 
สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (2568) กรณีติดเครดิตบูโร

เจ้าของกิจการรายหนึ่งกระแสเงินสดเริ่มดีขึ้นหลังตลาดฟื้น แต่เคยล่าช้าจนมีรอยในเครดิตบูโร จังหวะนี้ต้องการเงินทุนขยายงานแบบ สินเชื่อธุรกิจsmeไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันคำถามคือ “มีโอกาสผ่านไหม และควรยื่นอย่างไรให้รอบเดียวจบ”

ภาพรวมปี 2568: ดอกเบี้ย–เศรษฐกิจ “พอเอื้อ” แต่ยังต้องระวัง

กลางเดือนสิงหาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ 1.50% เพื่อลดต้นทุนการเงินและพยุงเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวช้า เหมาะกับการจัดวงเงินหมุนเวียนให้ธุรกิจเดินต่อได้คล่องตัวขึ้น.

ด้านภาพรวม GDP ไตรมาส 2/2568 โต 2.8% ชะลอจากไตรมาสก่อน แปลว่าตลาดยังมีแรงซื้อ แต่ผันผวนพอให้ SME ต้องวางเบาะกันกระแสเงินสดสะดุด.

เกณฑ์ที่ผู้ปล่อยกู้ “มักใช้” กับเคสเคยล่าช้า

พฤติกรรม 12–24 เดือนล่าสุด สำคัญสุด ให้ช่วงหลัง “สะอาด” (ไม่มีค้างเกิน 30 วัน) และแนบหลักฐานปิดบัญชีค้างเดิม/คำชี้แจงสั้นๆ.

ความรุนแรงของความล่าช้า เกิน 90 วัน มักเข้าข่าย NPL/ต้องมีแผนปรับโครงสร้างให้เรียบร้อยก่อนเดินหน้ากู้ใหม่.

ความสามารถชำระหนี้ (DSR/DSCR) ตั้งค่างวดรวมไม่เกิน ~30–35% ของกระแสเงินสดสุทธิรายเดือน เพื่อให้ DSCR ≥ 1.2x ต่อเนื่อง (แนวปฏิบัติในตลาด)

เอกสาร “เล่าเรื่องเดียวกัน”: สเตทเมนต์–ภาษี–งบการเงินต้องสอดคล้อง ไม่หลุดกัน

เครื่องมือ (ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์) ที่ช่วย “ผ่านง่ายขึ้น”

วงเงินหมุนเวียน OD / P-N: ใช้เท่าที่จำเป็น เสียดอกเฉพาะยอดที่ใช้จริง เหมาะธุรกิจรายวัน/รายสัปดาห์; ธนาคารพาณิชย์มีแพ็กเกจ Working Capital ให้เลือกหลายแบบ.

สินเชื่อแฟคตอริ่ง Invoice Financing: เปลี่ยนบิลเครดิตเทอมเป็นเงินสด เร่งรอบเงินเข้า (บางผลิตภัณฑ์ให้รับล่วงหน้าได้สูงสุดราว 90% ของมูลค่าใบแจ้งหนี้ และหลายกรณีไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ ถ้าคุณสมบัติผ่าน).

เทรดไฟแนนซ์ (Clean Bill, TR, L/C): เหมาะสายซัพพลายเชน/นำเข้า–ส่งออก ใช้ปิดช่องว่างระหว่างส่งมอบกับรับเงิน.

บสย. ค้ำประกัน (PGS ระยะที่ 11): ทางลัดเพิ่มโอกาสอนุมัติ/วงเงินสำหรับผู้มีศักยภาพแต่ไม่มีหลักทรัพย์ เพดานและเงื่อนไขปี 2568 ระบุไว้ชัด.
สูตร “ยื่นครั้งเดียวผ่าน” สำหรับเคสเคยช้า/ติดบูโร (สไตล์ ThaisME)

1) ทำสเตทเมนต์ให้โปร่ง 6–12 เดือน

แยกบัญชีธุรกิจ/ส่วนตัว 100%

รับ–จ่ายผ่านบัญชีให้มากที่สุด ลดเงินสดมือ

ถ้ามีเช็คเด้ง/ล่าช้าเพิ่งเกิด: รอให้ “นิ่ง” 3 เดือนก่อนยื่น

2) เคลียร์ประเด็นเครดิตบูโรให้จบ

ปิดบัญชีค้าง—ขอหนังสือรับรองปิดหนี้

ดาวน์โหลดรายงานเครดิตบูโรล่าสุด (มีช่องทางตรวจทั้งเคาน์เตอร์/ธนาคาร/ดิจิทัล และช่องทาง “สรุปรายงาน” ฟรีในบางกรณี) แนบไปด้วย.

3) เขียน Executive Summary 1 หน้า
เล่า 3 เรื่อง: โมเดลรายได้–ลูกค้าหลัก, วัตถุประสงค์ใช้เงิน (ผูกกับผลลัพธ์เป็นตัวเลข), ตารางค่างวดเดิม+ใหม่ (ให้ DSCR ≥ 1.2x)

4) จับคู่ “เครื่องมือ” ให้แมตช์รอบเงิน

เทอมลูกค้า 60 วัน → ใช้ P-N หรือแฟคตอริ่ง 60–90 วัน

รายได้รายวัน → OD เสียดอกเฉพาะวันที่ใช้

นำเข้า–ซัพพลายเชน → TR/L/C

5) ใช้ บสย. เสริมความน่าเชื่อถือ
ตรวจคุณสมบัติโครงการและเพดานค้ำต่อรายในรอบปี 2568 แล้วให้แบงก์ช่วยจัดแพ็กเกจที่เหมาะกับความเสี่ยงธุรกิจคุณ.
FAQ

ยังมีรอยค้าง 30–60 วัน แต่ปิดหมดแล้ว ยื่นได้ไหม?
ได้ ควรให้สเตทเมนต์ 3–6 เดือนล่าสุด “ตรงเวลา” และแนบเอกสารปิดหนี้/คำชี้แจงประกอบ.

ถ้าเคยเกิน 90 วันล่ะ?
เริ่มที่แผน ปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นสร้างประวัติใหม่ให้สะอาดค่อยยื่นใหม่ตามขั้นตอน.

วงเงินสูงขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่มีหลักทรัพย์?
ใช้ แฟคตอริ่ง/เทรดไฟแนนซ์ ช่วยเร่งเงินสด + ขอ ค้ำ บสย. เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ/วงเงิน เมื่อเอกสารและพฤติกรรมชำระสม่ำเสมอ วงเงินขยายง่ายขึ้น.

สรุป

ปี 2568 โอกาสขอ สินเชื่อธุรกิจsmeไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ยังเปิดกว้าง หากคุณทำ 3 อย่างพร้อมกัน: (1) ทำพฤติกรรมเครดิตช่วงหลังให้สะอาด (2) คุม DSR/DSCR และแมตช์เครื่องมือสินเชื่อกับรอบเงินเข้า (3) จัดเอกสารให้ “เล่าเรื่องเดียวกัน” เสมอ
อยากวางวงเงินให้ตรงจังหวะธุรกิจและยื่นรอบเดียวจบ? พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ที่ www.easycashflows.com



หน้า: [1] 2 3