รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: รีไฟแนนซ์ vs ปรับโครงสร้างหนี้ ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนคุ้มกว่า  (อ่าน 23 ครั้ง)

easycashflows

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
    • ดูรายละเอียด


ความสับสนที่เจอจริงในสนามธุรกิจ

“อยากลดดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่าควรรีไฟแนนซ์ หรือปรับโครงสร้างหนี้?”
นี่คือคำถามที่ SME ไทยจำนวนมากในปี พ.ศ. 2568 กำลังเจอ เพราะสภาพเศรษฐกิจแม้จะผ่อนคลาย ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% แต่ต้นทุนการกู้จริงยังสูงถ้าไม่มีแผนการเงินที่ชัดเจน

บทความนี้จะเล่าแบบ Storytelling เปรียบเทียบสองเครื่องมือการเงินให้เห็นภาพจริง ว่าเมื่อไรควร “ย้ายบ้าน” (รีไฟแนนซ์) และเมื่อไรควร “คุยกับเจ้าของบ้านเดิม” (ปรับโครงสร้างหนี้) พร้อมสูตรคำนวณคร่าว ๆ และเช็กลิสต์เอกสารที่ช่วยเพิ่มโอกาสผ่าน

รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจคืออะไร?

รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การย้ายหนี้ไปเจ้าหนี้ใหม่ เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยต่ำลง ตารางผ่อนเหมาะสมขึ้น หรือรวมหลายหนี้ให้บริหารง่ายขึ้น

เหมาะกับธุรกิจที่:

กระแสเงินสดเริ่มนิ่ง มีสัญญาลูกค้าชัด

ต้องการลดดอกเบี้ยระยะยาว

อยากรวมหลายก้อนหนี้เป็นก้อนเดียวเพื่อคุมง่าย

📌 ตัวอย่าง: บริษัทสตาร์ทอัพขนส่ง มีหนี้ OD ดอก 12% และสินเชื่อเทอมโลนดอก 10% รวมภาระดอกสูง → หากรีไฟแนนซ์ไปเจ้าหนี้ใหม่ที่เสนอ 7.5% และรวมเป็นสัญญาเดียว จะช่วยลดภาระดอกต่อปีหลายแสนบาท

ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?

การปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) คือ การเจรจากับเจ้าหนี้เดิม เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญา เช่น ยืดระยะเวลา ลดค่างวด หรือพักชำระเงินต้นบางส่วน

เหมาะกับธุรกิจที่:

รายได้สะดุดชั่วคราว เช่น งานถูกเลื่อน ลูกค้าจ่ายช้า

กระแสเงินสดไม่พอจ่ายค่างวดเดิม

ต้องการ “หายใจต่อ” ทันที ไม่ได้เน้นดอกเบี้ยต่ำสุด แต่เน้น “ผ่อนให้ไหว”

📌 ตัวอย่าง: ร้านอาหาร SME รายหนึ่งหลังโควิดยอดขายตก ธนาคารยืดสัญญา 3 ปี ทำให้ค่างวดลดจาก 80,000 → 50,000 บาทต่อเดือน แม้ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาจะสูงขึ้น แต่ร้านได้เวลาฟื้นตัว

Insight: อัปเดตกติกาที่ SME ควรรู้ (ปี 2568)

ไม่คิดค่าปรับปิดก่อนกำหนด สำหรับสินเชื่อรายย่อยและ SME (ยกเว้นบ้านใน 3 ปีแรก)

ไม่คิดค่าธรรมเนียมปรับโครงสร้างหนี้ ตามมาตรการ “แก้หนี้ยั่งยืน” ของธปท.

ห้ามคิดดอกเบี้ยบนดอกเบี้ย (Interest on Interest) สำหรับหนี้ภายใต้กรอบดังกล่าว

💡 แปลว่า: ทั้งการรีไฟแนนซ์และปรับโครงสร้างหนี้ “ถูกลง” กว่าอดีต ทำให้ SME มีอำนาจต่อรองมากขึ้น

สูตรคำนวณจุดคุ้มทุน (Quick Check)

ส่วนต่างดอกเบี้ยต่อเดือน = (อัตราเดิม − อัตราใหม่) ÷ 12 × ยอดหนี้คงเหลือ

ตัวอย่าง:

หนี้ 5,000,000 บาท

ดอกเดิม 12% → ใหม่ 8%

ส่วนต่างต่อเดือน = (0.12 − 0.08)/12 × 5,000,000 = 16,667 บาท

ถ้ามีค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์รวม 120,000 บาท → จุดคุ้มทุน = 120,000 ÷ 16,667 ≈ 7.2 เดือน
✔ ถ้าตั้งใจถือสัญญาใหม่ยาวกว่า 7 เดือน คุ้ม
✘ ถ้าถือไม่นาน หรือต้องย้ายอีก อาจไม่คุ้ม

มองผ่านแว่นเครดิต: ทำไม DSCR สำคัญ?

ไม่ว่าคุณจะรีไฟแนนซ์หรือปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารจะถามคำเดียวว่า “ผ่อนแล้วไหวไหม?”

ตัวชี้วัดหลักคือ DSCR (Debt Service Coverage Ratio)

สูตร: DSCR = กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ÷ (เงินต้น+ดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด)

เกณฑ์ที่ปลอดภัย: ≥ 1.2–1.3 เท่า

📌 เช่น หากธุรกิจมีกระแสเงินสด 150,000 บาท/เดือน และภาระหนี้ 100,000 บาท → DSCR = 1.5 เท่า = “สบาย”
หาก DSCR ต่ำกว่า 1 หมายถึง “เงินสดไม่พอจ่ายหนี้” → ธนาคารมักปฏิเสธ

แผนที่การตัดสินใจ (Decision Map)

✅ รีไฟแนนซ์: เมื่อกระแสเงินสดนิ่ง, มีสัญญาลูกค้าระยะยาว, ถือสัญญาใหม่ได้ยาว

✅ ปรับโครงสร้างหนี้: เมื่อรายได้สะดุด, ต้องลดค่างวดทันที, รอฐานะดีขึ้นแล้วค่อยรีไฟแนนซ์

💡 หลายธุรกิจ SME ใช้ “สองสเต็ป” → ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเพื่อหายใจ แล้วรอจังหวะรีไฟแนนซ์อีกครั้ง

Storytelling: เคสจริง SME ไทย

บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์มีหนี้สั้นดอกสูง 4 ล้านบาท + หนี้ยาวดอก 10% อีก 3 ล้านบาท รวมแล้วจ่ายดอกเดือนละเกือบ 100,000 บาท

Step 1: ปรับโครงสร้างหนี้ 6 เดือนกับเจ้าหนี้เดิม ลดแรงจ่ายค่างวดทันที และผูกตารางผ่อนกับฤดูกาลขาย

Step 2: เมื่อยอดขายฟื้น มีสัญญาลูกค้า 2 ปีแน่นอน จึงรีไฟแนนซ์ไปเจ้าหนี้ใหม่ รวมเป็นก้อนเดียวดอกเฉลี่ย 7.5%

ผลลัพธ์: DSCR ขยับจาก 1.05 → 1.4 เท่า และประหยัดดอกเบี้ยต่อปีหลายแสนบาท

เช็กลิสต์เอกสารที่ต้องเตรียม

Executive Summary หน้าเดียว (วัตถุประสงค์–หนี้เดิม–ผลลัพธ์คาดหวัง)

งบการเงินล่าสุด + Bank Statement 6–12 เดือน

ตารางหนี้เดิม (ยอดคงค้าง–อัตราดอก–วันครบกำหนด)

Cash Flow Forecast “ก่อน–หลังดีล”

สัญญาลูกค้าระยะยาว/PO (ถ้ามี)

ตรวจเงื่อนไข Prepayment Fee และค่าธรรมเนียมตามกรอบธปท.

ข้อผิดพลาดที่เจอบ่อย

โฟกัสดอกต่ำ แต่ไม่คิดค่าธรรมเนียมรวม → ดีลไม่คุ้มจริง

เอกสารไม่ชัด “เล่าเรื่องไม่ได้” → เจ้าหน้าที่เครดิตอ่านยาก ตัดสินใจช้า

ขอรีไฟแนนซ์ทั้งที่รายได้ยังไม่นิ่ง → โอกาสผ่านต่ำ

กลัวคำว่า “ปรับโครงสร้างหนี้” → จริง ๆ ถ้าแผนสมเหตุสมผล เป็นเครื่องมือช่วยธุรกิจยืนระยะ

สรุป: จะเลือกแบบไหนให้คุ้ม?

ถ้าเป้าหมายคือ ลดดอกเบี้ยธุรกิจ และกระแสเงินสดนิ่ง → รีไฟแนนซ์ คุ้มกว่า

ถ้าต้องการ ลดแรงกดดันค่างวดทันที เพื่อพยุงกิจการ → ปรับโครงสร้างหนี้ คือคำตอบ

อย่าลืมคำนวณจุดคุ้มทุน, ตรวจเงื่อนไขค่าธรรมเนียม, และแสดง DSCR ที่ดีขึ้น

👉 หากคุณเป็นเจ้าของ SME ที่กำลังตัดสินใจ รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจหรือปรับโครงสร้างหนี้
ขอคำปรึกษาและเปรียบเทียบข้อเสนอหลายสถาบันได้ที่ www.easycashflows.com
บันทึกการเข้า