
ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความผันผวนต่อเนื่อง ทั้งต้นทุนพลังงาน ค่าแรงขั้นต่ำที่ขยับสูงขึ้น และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ปี 2568 จึงเป็นปีแห่ง “การปรับสมดุล” ของผู้ประกอบการไทย
แต่คำถามคือ… “ถ้าธุรกิจคุณต้องโตในสภาพเศรษฐกิจที่เข้มข้นแบบนี้ จะหาแหล่งเงินทุนจากที่ไหน และแบบไหนเหมาะสมที่สุด?”
คำตอบอยู่ที่ สินเชื่อ SME และ
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ใช่แค่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ยังสร้างโอกาสขยายได้จริง
แนวโน้มตลาด
สินเชื่อsmeข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า สินเชื่อ SME มีแนวโน้ม เติบโต 4–5% ในปี 2568 แม้ว่าภาพรวมสินเชื่อของระบบธนาคารยังคงคัดกรองเข้มขึ้น เพราะความเสี่ยงด้านเครดิตของ SME บางกลุ่มยังสูง
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของธนาคารพาณิชย์และ Non-bank ทำให้เกิด ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้ข้อมูลดิจิทัล เช่น ยอดขาย POS, เดลิเวอรี่ หรือ QR Payment เป็นหลักฐานพิจารณาอนุมัติ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคนี้ที่อาจไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ประเภทแหล่งเงินทุนที่ SME เลือกใช้ในปี 2568
1.
สินเชื่อระยะสั้น (Short-term Loan)
เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการทุนหมุนเวียนทันที เช่น ซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าแรง หรือสต็อกสินค้า
OD (Overdraft): เบิกเกินบัญชีตามวงเงินที่ได้รับ
P/N (Promissory Note): กู้โดยใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน
Bill Discounting: รับซื้อลดตั๋วเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง
2. สินเชื่อระยะยาว (Long-term Loan)
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหรือโครงการใหญ่
Term Loan: เงินกู้ผ่อนระยะยาว ค่างวดคงที่
Leasing: เหมาะกับการซื้อเครื่องจักรหรือยานพาหนะ
Project Finance: ใช้สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โรงงานหรือรีสอร์ท
3. สินเชื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance)
เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า–ส่งออก
L/C (Letter of Credit): ธนาคารรับรองการชำระเงิน
T/R (Trust Receipt): ปล่อยสินค้าก่อนจ่ายเงิน
Export Bill Discounting: เพิ่มสภาพคล่องระหว่างรอชำระเงินจากต่างประเทศ
4. แหล่งทุนจาก Non-bank
ปี 2568 Non-bank กลายเป็นผู้เล่นสำคัญ เพราะอนุมัติเร็วและเงื่อนไขยืดหยุ่น
บริษัทเงินทุน / ลีสซิ่ง / แฟคตอริ่ง
บริษัทฟินเทคด้านดิจิทัลไฟแนนซ์ ที่ใช้ข้อมูล Big Data และ AI มาช่วยวิเคราะห์เครดิต
ข่าวเศรษฐกิจและผลกระทบต่อ SME ปี 2568
เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% (BOT, 2568) นำโดยการท่องเที่ยวและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง SME ต้องวางแผนเลือกวงเงินอย่างรอบคอบ
ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเฉลี่ย 5% เพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุน ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าถึงสินเชื่อเพื่อรักษาสภาพคล่อง
ESG และ Green Finance: ธนาคารออกผลิตภัณฑ์ดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจที่ลงทุนในพลังงานสะอาดหรือการผลิตที่ยั่งยืน
วิธีเลือกแหล่งเงินทุนให้ตรงกลยุทธ์ธุรกิจ
กำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินชัดเจน – ใช้เพื่อหมุนเวียน ลงทุน หรือขยายกิจการ
เลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงกับ Cash Flow – ไม่ควรกู้ระยะยาวเพื่อกิจกรรมสั้น ๆ
คุม DSR (Debt Service Ratio) – ไม่ควรเกิน 35–40% ของกระแสเงินสด เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านหนี้
ใช้ข้อมูลดิจิทัลสร้างเครดิต – ธนาคารยุคนี้ให้ความสำคัญกับยอดขายจาก POS, QR Payment, แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
สำรวจโครงการสนับสนุนจากรัฐ – เช่น บสย. ที่ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ไม่มีหลักทรัพย์
กลยุทธ์เอาตัวรอดของ SME ปี 2568
ไม่ใช้สินเชื่อเกินความจำเป็น: ตั้งวงเงินกู้ตามรอบหมุนเวียนที่แท้จริง
ลงทุนที่สร้าง ROI ชัดเจน: ทุกบาทที่กู้ควรสร้างรายได้มากกว่าต้นทุนดอกเบี้ย
สร้างธุรกิจที่ยั่งยืน: นำ ESG เข้ามาปรับใช้ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและเพิ่มโอกาสการเข้าถึง Green Loan
สรุป: แหล่งเงินทุนคืออาวุธเชิงกลยุทธ์
ปี 2568 แหล่งเงินทุนไม่ใช่แค่ “เงินช่วยเหลือ” แต่คือ “อาวุธทางกลยุทธ์” ที่จะชี้ชะตาการแข่งขันของ SME ไทย ธุรกิจที่รู้จักเลือกสินเชื่อ SME และเงินกู้เพื่อธุรกิจขนาดเล็กได้อย่างชาญฉลาด จะสามารถเปลี่ยนจากการเอาตัวรอด ไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคง
👉 หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาด้านสินเชื่อธุรกิจ ติดต่อเราได้ที่ www.easycashflows.com
อ่านบทความฉบับเต็ม
แหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจ2568ข้อมูลอ้างอิง (ปี 2568)
ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) – รายงานเศรษฐกิจและการเงินล่าสุด
สมาคมธนาคารไทย (TBA) – แนวทางสนับสนุนสินเชื่อ SME
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) – รายงานสถานการณ์ SME ปี 2568