สภาอุตสาหกรรม หนุนคสช.จัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ

สำนักวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

 OIENewLogo
 



สรุปประเด็นข่าวสำคัญ : ประจำวันศุกร์ที่25กรกฎาคม2557
 

ค่าเงินบาท (ประจำวันที่24กรกฎาคม2557)31.828บาท/$

ทองคำแท่ง    ซื้อ   19,450.00บาท

ขาย   19,550.00   บาท

ทองรูปพรรณซื้อ   19,162.24บาท

ขาย   19,950.00    บาท

เบนซินออกเทน 95  48.75 บาท/ลิตร

ดีเซลหมุนเร็ว   29.85  บาท/ลิตร

แก๊สโซฮอล 95  40.23 บาท/ลิตร

แก๊สโซฮอล 91  37.78 บาท/ลิตร

ข่าวในประเทศ
กล่องข้อความ:  กล่องข้อความ: นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)            1. 'สภาอุตฯ' หนุนคสช.จัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ
(ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม2557)                                นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "ทรัพยากร น้ำกับความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม" จัดโดยสถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืน ส.อ.ท. ว่า ส.อ.ท.สนับสนุนแนวทางการจัดทำแผนแม่บทพัฒนา และบริหารจัดการน้ำที่ขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังอยู่ระหว่างบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำอยู่โดยภาคเอกชน ต้องการเห็นแผนแก้ไขปัญหาทั้งระบบที่เป็นแผนระยะยาว เพื่อให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมควรต้องให้มีกระบวนการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาการคอร์รัปชั่นซึ่งโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของเดิมที่ถูกต่อต้าน เพราะความไม่ไว้วางใจต่อปัญหาการคอร์รัปชั่น แต่การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างถาวรที่ต้องดูแลทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง และป้องกันน้ำท่วม ดังนั้นต้องไม่ให้ปัญหานี้เกิดซ้ำอีก
            อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ขณะนี้คสช.อยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาและบริหารจัดการน้ำของประเทศที่จะเป็นแผนระยะยาว 10 ปีแบ่งเป็นระยะสั้น 1-2 ปี ระยะกลาง 3-5 และระยะยาว 10 ปี ล่าสุดได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อเร่งการทำงาน 5 คณะได้แก่ คณะอนุกรรมการชุด ที่ 1 ดูแลแผนการบริหารจัดการน้ำภาคเหนือ กลางและตะวันตก ชุดที่ 2 ดูแลด้านภาคอีสานและใต้ ชุดที่ 3 ดูแลเรื่องระบบข้อมูล ชุดที่ 4 ดูแลโครงสร้างองค์กรบริหารจัดการน้ำ และชุดที่ 5 ด้านการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชน ซึ่งภายในวันที่30กรกฎาคม2557 นี้ ทั้ง 5 คณะจะเสนอกรอบการทำงาน ทั้งหมดเพื่อให้คณะทำงานชุดใหญ่พิจารณาและหลังจากนั้นจึงจัดทำแผนรวมก่อนที่จะประกาศแผนให้ประชาชนรับทราบเป็นการบูรณาการทุกฝ่ายในวันที่ 15 ตุลาคม 2557

 

กล่องข้อความ:  กล่องข้อความ: นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)2.ปั้นอุตสาหกรรมจังหวัดปราบสินค้าห่วย(ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, ประจำวันที่ 25กรกฎาคม 2557)                         
นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ.ได้อบรมให้ความรู้อุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ออกตรวจโรงงาน และร้านจำหน่ายทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 5,000 แห่ง ภายในปี 2558 เพื่อ ให้โรงงาน และร้านค้า แต่ละแห่งผลิตหรือจำหน่ายสินค้าเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพราะเจ้าหน้าที่ของสมอ.ในปัจจุบันมีจำนวนจำกัด อาจตรวจสินค้าทั่วประเทศไม่ทั่วถึง จะช่วยให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. ซึ่งเป็นการการันตีว่า สินค้าดังกล่าวมีคุณภาพทั้งนี้ได้ปรับแผนการดำเนินงาน เพื่อสร้างความคล่องตัวในการให้บริการ โดยปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบการอนุญาต มอก. เหลือ 26 วัน จากเดิม 43 วัน ซึ่ง สมอ. จะเปิดให้ภาคเอกชนร่วมตรวจสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม (ไอบี) โดยจะเพิ่มจากปี 2557 ที่มี 13 ราย เป็น 25 ราย รวมทั้งจะเพิ่มหน่วยตรวจสอบรับรอง (ซีบี) แบ่งเป็นการเพิ่มห้องปฏิบัติการทดสอบจากเดิมที่มี 283 ราย เป็น 310 ราย และเพิ่มห้องปฏิบัติการสอบเทียบ จากเดิม 241 ราย เป็น 300 ราย ซึ่งจะช่วยให้การออกใบรับรองมาตรฐานต่าง ๆ เร็วขึ้น
กล่องข้อความ:  กล่องข้อความ: นางศิริพรนุรักษ์ผู้อำนวยการระดับสูงกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)            อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2558 สมอ. ได้รับงบประมาณ 700 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนนำไปซื้อเครื่องมือให้กับหน่วยทดสอบต่าง ๆ ทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และอบรมเพื่อให้ความรู้กับโอทอป เอสเอ็มอี และผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อรองรับการยกระดับมาตรฐานสู่อาเซียน                                               3. 'บีโอไอ' เร่งปั้นนักลงทุน เจาะอาเซียน–ตลาดใหม่(ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2557)                            นางศิริพรนุรักษ์ผู้อำนวยการระดับสูงกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่านอกจากส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศแล้ว บีโอไอยังต้องส่งเสริมให้ธุรกิจไทยออกไปลงทุนต่างประเทศด้วยโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่อาจจะยังมีข้อจำกัดในแง่ของข้อมูลเพื่อการทำธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะในแง่ของตลาดและกฎกติกาต่างๆทั้งนี้บีโอไอจึงได้ลดข้อจำกัด โดยการให้ข้อมูลผ่านศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ รวมถึงจัดหลักสูตรให้ความรู้ในหลักสูตรสร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศโดยมีเป้าหมายในการยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการเพิ่มความรู้และทักษะให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ภาพรวมการทำธุรกิจในต่างประเทศที่สนใจจะไปลงทุน ผู้เข้ารับการอบรมจะรู้ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของธุรกิจตัวเอง ตลอดจนกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆเพื่อสร้างโอกาสที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศได้มากขึ้นโดยบีโอไอให้ความรู้ในหลักสูตรนี้ไปแล้ว 5 รุ่นรวม 192 ราย และประมาณ 15% ของผู้ที่เข้ารับการอบรม หรือประมาณ 30 ราย ได้ออกไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้วส่วนใหญ่เป็นการไปลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ เช่น โรงไฟฟ้า ซึ่งประเทศที่ไปลงทุนส่วนมากเป็นกลุ่มอาเซียนที่มีชายแดนติดกับไทย ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม บีโอไออยู่ระหว่างเปิดรับสมัครนักธุรกิจไทยเข้าร่วมอบรมรุ่นที่ 6 และ 7 รับสมัคร 40 คนต่อรุ่นโดยโครงสร้างการให้ความรู้จะมี 2 ส่วน คือ การอบรม 60 ชั่วโมง และการพานักลงทุนเดินทางศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสำรวจพื้นที่การลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศตลาดใหม่เน้นลาวเมียนมาร์อินโดนีเซียศรีลังกา และตลาดใหม่อย่างมัลดีฟส์
ข่าวต่างประเทศ
กล่องข้อความ:  1. พีเอ็มไอจีนสูงสุดรอบ18เดือน(ที่มา:เว็บไซต์แนวหน้า,ประจำวันที่ 25กรกฎาคม 2557)                                                            ธนาคารเอชเอสบีซีของอังกฤษเปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ)เดือนกรกฎาคมของจีนว่า แตะระดับสูงสุดในรอบ18 เดือนที่ 52 จุด และเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 50.7 จุด เมื่อเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนที่พีเอ็มไอเกิน 50 จุด เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน ทั้งนี้ ทางด้านเศรษฐกรของเอชเอสบีซีระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดย่อมที่รัฐบาลประกาศเมื่อเดือนเมษายนยังคงส่งผลต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนไตรมาสสองของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 7.5 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสูงกว่าร้อยละ 7.4 ในไตรมาสแรกของปีทำให้เศรษฐกรบางคนมองว่า เศรษฐกิจจีนพ้นจากจุดต่ำสุดและฟื้นตัวแล้ว แต่บางคนเตือนว่า อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่จำนวนมากที่ยังขายไม่ออกจะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะครองสัดส่วนสำคัญในเศรษฐกิจและมีความสำคัญต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น

http://www.star-circuit.com/news/Master-Plan-for-Water-Management.html