รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ใช้เครื่องจักรเป็นหลักประกันอย่างไรให้วงเงินคุ้มที่สุด  (อ่าน 3 ครั้ง)

easycashflows

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 87
    • ดูรายละเอียด

เวลาพูดถึงการลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักนึกถึงแค่
“ลิสซิ่ง” หรือ “เช่าซื้อ” ในฐานะ สินเชื่อเครื่องจักร โดยตรง

แต่ในความเป็นจริง “เกือบทุกธนาคาร” มี สินเชื่อเพื่อกิจการsme
ที่
ไม่ได้ใช้ชื่อว่า สินเชื่อเครื่องจักร
แบบชัด ๆ
แต่ เปิดให้ใช้เครื่องจักรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ร่วมกับที่ดิน อาคาร หรือเงินฝาก

จุดนี้เองที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่จริงแล้ว
อาจเป็น “ทางเลือกเชิงกลยุทธ์” ที่สำคัญมากสำหรับเจ้าของธุรกิจที่อยากจัดโครงสร้างหนี้ให้ฉลาดกว่าเดิม
โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่ได้ต้องการแค่เงินซื้อเครื่องอย่างเดียว แต่ต้องการ “วงเงินเพื่อขยายกิจการทั้งแพ็ก”

บทความนี้จึงชวนมาดู

มุมที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ที่ใช้เครื่องจักรเป็นหลักประกันได้

เปรียบเทียบกับ สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ที่เป็นลิสซิ่ง/เช่าซื้อ

บทบาทของ สินเชื่อsmeไม่มีหลักทรัพย์ ที่ควรใช้เป็นตัวเสริมไม่ใช่ตัวหลัก
ผ่านเรื่องเล่าจากเคสลูกค้าจริง (ดัดแปลง ไม่เปิดเผยชื่อ)
แล้วค่อยต่อด้วยมุมวิเคราะห์เชิงลึกและ Insight ที่ SME และคนทำแฟรนไชส์ควรรู้

เรื่องเล่าจากหน้างาน: “ผมไม่ได้อยากกู้แค่เครื่องตัวเดียวครับพี่…”

สมมติให้ “คุณบี” เป็นเจ้าของโรงงานผลิตสินค้าให้แบรนด์แฟรนไชส์อาหารหลายเจ้า
โรงงานของเขาเริ่มโต ยอดออเดอร์จากแฟรนไชส์แลนด์มาร์กใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ปัญหาคือ

เครื่องจักรเดิมเริ่มเต็มกำลังผลิต ทำงานแทบ 24 ชั่วโมง

ลูกค้าแฟรนไชส์เริ่มถามถึงกำลังผลิตเพิ่ม ถ้ารับไม่ไหว เขาเสี่ยงเสียลูกค้ารายใหญ่

เขาอยากซื้อเครื่องจักรใหม่ 1–2 ตัว เพื่อเพิ่ม capacity

แต่อยากทำ คลังสินค้าเล็ก ๆ เพิ่ม และรีโนเวตพื้นที่บางส่วนไปพร้อมกัน

เมื่อคุยกับดีลเลอร์เครื่องจักร
เขาได้รับข้อเสนอ ลิสซิ่ง และ เช่าซื้อ ซึ่งเป็นรูปแบบคลาสสิกของ สินเชื่อเครื่องจักร

เงื่อนไขก็ไม่ได้แย่อะไร:

ดาวน์บางส่วน

ผ่อน 3–5 ปี ค่างวดคงที่

ใช้ตัวเครื่องเป็นหลักประกันหลัก

แต่คุณบีกลับตั้งคำถามว่า

“ผมไม่ได้จะซื้อเครื่องอย่างเดียวนะครับ ผมอยากรีโนเวตพื้นที่เก็บของด้วย
อยากมีเงินกันไว้สำหรับรับออเดอร์ล็อตใหญ่ช่วงไฮซีซันด้วย
ถ้าผมทำดีลเฉพาะเครื่อง ผมจะต้องไปกู้อีกก้อนแยกอยู่ดีหรือเปล่า?”

และนี่คือจุดที่เราชวนเขาลองมองอีกมุมหนึ่ง…

จาก “สินเชื่อเครื่องจักร” บนโบรชัวร์ → สู่ “สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME” ที่ใช้เครื่องจักรค้ำ

เวลาพูดคำว่า สินเชื่อเครื่องจักร
ภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นคือ

ลิสซิ่งเครื่องจักร

เช่าซื้อเครื่องจักร

สินเชื่อ Term Loan ซื้อเครื่องโดยตรง

แต่เบื้องหลังจริง ๆ โครงสร้างของหลายธนาคารเป็นแบบนี้

มีโปรแกรม “เฉพาะเครื่องจักร” เช่น ลิสซิ่ง/เช่าซื้อ

และมี สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME แบบ Term Loan/วงเงินลงทุน ที่

ใช้ที่ดิน/อาคาร/เงินฝาก และ/หรือ เครื่องจักร เป็นชุดหลักทรัพย์ค้ำประกัน

พูดให้ง่าย

คุณไม่ได้จำเป็นต้องใช้สินเชื่อที่ “ตั้งชื่อว่าเครื่องจักร” เสมอไป
แต่สามารถใช้ เครื่องจักรเป็นส่วนหนึ่งของหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในกรอบ
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน สำหรับ SME ได้ด้วย

สำหรับเคสของคุณบี เราลองให้เขากลับไป “ลิสต์ทรัพย์” ทั้งหมดออกมา

ที่ดินโรงงาน + อาคาร

เครื่องจักรชุดเดิมที่ผ่อนหมดแล้ว (แต่ยังมีมูลค่าตลาด)

เครื่องจักรรุ่นใหม่ที่จะซื้อเพิ่ม

เงินฝากธุรกิจที่พอมีอยู่บ้าง

แล้วออกแบบโครงสร้างแบบนี้แทน

ใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME แบบมีหลักประกัน

ให้ที่ดิน + เครื่องจักรเดิม + เครื่องจักรใหม่ (หลังซื้อ) เป็นหลักประกันรวม

วงเงินก้อนนี้ใช้

ซื้อเครื่องใหม่

รีโนเวตพื้นที่คลัง

ทำระบบรองรับงานล็อตใหญ่

เสริมด้วย สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินไม่ใหญ่มาก

เอาไว้มูฟเงินหมุนสั้น ๆ เวลาออเดอร์ขึ้นแบบผิดจังหวะ

ผลลัพธ์ที่คุณบีได้คือ

ไม่ต้องทำดีลลิสซิ่งแยกเฉพาะเครื่อง แล้วไปวิ่งหาสินเชื่อก้อนอื่นทีละชิ้น

ได้ “วงเงินเพื่อธุรกิจ” ที่คิดบนภาพรวม ไม่ใช่เฉพาะมูลค่าเครื่องตัวเดียว

แม้จะยังเป็น สินเชื่อแบบมีหลักประกัน แต่เขาใช้ทรัพย์ที่ธุรกิจมีอยู่แล้วให้คุ้มค่าที่สุด

มุมมองเชิงกลยุทธ์: ทำไม SME ควรสนใจโครงสร้างนี้
1. เพราะคุณไม่ได้ต้องการแค่ “เงินซื้อเครื่อง” เสมอไป

เจ้าของกิจการจำนวนมากเริ่มต้นด้วยโจทย์ “อยากได้เครื่องจักรตัวใหม่”
แต่เมื่อไล่รายการจริง ๆ จะพบว่ามีรายการอื่นพ่วงมาด้วยเสมอ เช่น

ปรับ lay-out โรงงาน

ติดตั้งระบบไฟ–ระบบลม

ทำคลังสินค้าเพิ่ม

สร้างพื้นที่เตรียมของสำหรับแฟรนไชส์สาขาใหม่

ถ้าคิดแบบ “แยกก้อน”

เครื่องจักร → ใช้ลิสซิ่ง/เช่าซื้อ

รีโนเวตโรงงาน → ใช้สินเชื่ออีกตัว

เงินสำรองหมุนเวียน → ใช้ สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ยสูง

สุดท้ายโครงสร้างหนี้จะกระจัดกระจาย และอาจมีต้นทุนดอกเบี้ยรวมสูงกว่า
ในขณะที่ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME แบบมีหลักประกัน ที่ใช้ชุดทรัพย์ทั้งหมดรวมกัน
อาจให้โครงสร้างดีกว่า ทั้งในมุมวงเงินและอัตราดอกเบี้ย

2. เครื่องจักรเก่าที่ผ่อนหมดแล้ว ไม่ควรนอนเฉย ๆ

หลายโรงงานมีเครื่องจักรเดิมที่ “ผ่อนหมดแล้ว”
กลายเป็นทรัพย์ที่อยู่บนงบดุลแต่ไม่ได้นำไปใช้เป็นหลักประกันอะไรต่อ

การใช้ สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ที่ให้เครื่องจักรเหล่านี้เข้าไปอยู่ในแพ็กหลักทรัพย์
ร่วมกับที่ดิน/อาคาร สามารถ

เพิ่มวงเงินที่ขอได้

ดึงเครื่องจักรมาสร้างประโยชน์ทางการเงิน โดยไม่กระทบการใช้งานจริง

แน่นอนว่า ต้องระวังไม่ใช้วงเงินเกินตัว
แต่ถ้าวางแผนดี เครื่องจักรที่เคยจ่ายเงินจบไปแล้ว จะกลายเป็น “แต้มต่อ” ให้คุณคุยกับแบงก์ได้ดีขึ้น

3. รู้จุดแข็งของ “สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” แล้วใช้ให้ถูกจุด

สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือวงเงิน SME ที่ดูจากเครดิตและรายได้
มีจุดแข็งที่ความเร็วและความยืดหยุ่น แต่จุดอ่อนคือ

วงเงินมักไม่สูงพอสำหรับซื้อเครื่องจักรหลักล้าน

อัตราดอกเบี้ยมักสูงกว่าแบบมีหลักประกัน

ในมุมกลยุทธ์ จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้สำหรับ

เงินหมุนสั้น ๆ

ค่าใช้จ่ายประจำ

ต้นทุนที่ไม่ควรเอาทรัพย์ไปผูก เช่น ค่าโฆษณา ค่าเปิดสาขาแฟรนไชส์ ฯลฯ

ไม่ใช่ใช้เพื่อ “ซื้อทรัพย์ถาวร” อย่างเครื่องจักรหลัก ๆ เพราะจะทำให้คุณแบกดอกเบี้ยแพงเกินจำเป็นในระยะยาว

เปรียบเทียบภาพรวม: 3 ชั้นของการใช้เครื่องจักรในเกมสินเชื่อ

ถ้าเรามองจากมุมสูง จะเห็น “สามชั้น” ที่ SME ใช้เครื่องจักรในเกมการเงินได้แบบนี้

ชั้นที่ 1 – สินเชื่อเครื่องจักรโดยตรง

ลิสซิ่ง / เช่าซื้อ / Term Loan ซื้อเครื่อง

ใช้เมื่อโจทย์ชัดเจนว่า “ต้องการเครื่องตัวนี้เท่านั้น”

ชั้นที่ 2 – สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME แบบมีหลักประกัน

ใช้เครื่องจักรเป็นหลักประกันร่วมกับที่ดิน/อาคาร/เงินฝาก

เหมาะเมื่อคุณต้องการ “วงเงินเพื่อธุรกิจ” ครอบคลุมทั้งเครื่อง + งานปรับปรุง + ขยายกิจการ

ชั้นที่ 3 – สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ใช้เพื่อเสริมลมหายใจสั้น ๆ ให้ธุรกิจ

ไม่ควรเป็นตัวหลักในการซื้อทรัพย์ถาวร

การวางกลยุทธ์ที่ดี ไม่ใช่การเลือกแค่ชั้นใดชั้นหนึ่ง
แต่คือการ “ผสมให้พอดี” กับโครงสร้างรายได้–กำไรของธุรกิจในระยะ 3–5 ปีข้างหน้า

Checklist สั้น ๆ ก่อนตัดสินใจใช้เครื่องจักรเป็นหลักประกัน

ก่อนจะเดินเข้าแบงก์ ลองตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองให้ได้ก่อน

เป้าหมายคืออะไรแน่ ๆ ?

แค่ซื้อเครื่องอย่างเดียว

หรืออยากขยายกำลังการผลิต รีโนเวต และเผื่อเงินหมุนไปพร้อมกัน

มีทรัพย์อะไรอยู่ในมือบ้าง?

ที่ดิน อาคาร

เครื่องจักรที่ผ่อนหมดแล้ว

เครื่องจักรใหม่ที่กำลังจะซื้อ

เงินฝาก

เรารับภาระดอกเบี้ยต่อเดือนสูงสุดได้เท่าไหร่ โดยไม่ทำให้เงินหมุนตึงเกินไป?

เรายอมเอาทรัพย์อะไรไปผูกใน “สินเชื่อแบบมีหลักประกัน” ได้บ้าง
และอยากกันส่วนไหนไว้ไม่ให้แตะ

เมื่อคำตอบเริ่มชัด
คุณจะมองเห็นภาพเองว่า

ตรงไหนควรใช้ สินเชื่อเครื่องจักร แบบเฉพาะเครื่อง

ตรงไหนควรขยับไปคุย สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ที่ให้เครื่องจักรเป็นส่วนหนึ่งของหลักทรัพย์ค้ำประกัน

และควรเผื่อ สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไว้เท่าไหร่ สำหรับใช้เป็นกันชนเงินหมุน ไม่ใช่แบกทุกอย่างด้วยดอกเบี้ยสูง

ท้ายที่สุด เครื่องจักรไม่ใช่แค่ “เหล็กก้อนใหญ่” ในโรงงานหรือหลังร้าน
แต่คือทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็น พลังของโครงสร้างเงินทุน ได้
ถ้าเราเข้าใจวิธีใช้มันในเกม สินเชื่อเครื่องจักร – สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME – สินเชื่อแบบมีหลักประกัน – สินเชื่อแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อย่างมีกลยุทธ์

และนั่นแหละ คือจุดที่ SME และธุรกิจแฟรนไชส์เล็ก ๆ จะเริ่ม “คุยกับธนาคารด้วยภาษาของนักวางโครงสร้างเงินทุน”
ไม่ใช่แค่ในฐานะ “คนขอกู้รายย่อย” อีกต่อไป
บันทึกการเข้า