
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก ไม่มีหลักประกัน: เข้าใจให้ชัด ก่อนตัดสินใจ
ในปี 2568 ที่การแข่งขันทางธุรกิจเข้มข้น ต้นทุนสูง และเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การมีเงินทุนเสริมกลายเป็น “เครื่องช่วยหายใจ” ของธุรกิจขนาดเล็ก เจ้าของกิจการจำนวนมากหันมามอง สินเชื่อ SME ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก หรือสินเชื่อเพื่อการลงทุนขนาดเล็ก เพราะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการหมุนเวียนและการลงทุน
จากข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปี 2568 กลุ่มธุรกิจ SME ยังคงเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจไทย แต่การปล่อยสินเชื่อยังมีความเข้มงวด ธนาคารจึงเลือกปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการที่เตรียมข้อมูลชัดเจน มีแผนธุรกิจโปร่งใส และสามารถพิสูจน์ศักยภาพการชำระหนี้ได้
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก คืออะไร?
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เงินกู้ SME” คือสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประกอบการรายย่อยถึงขนาดกลาง ใช้ได้ทั้งการเสริมสภาพคล่อง ซื้อวัตถุดิบ ลงทุนเครื่องจักร หรือขยายกิจการ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ:
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน (Secured Loan): ใช้ทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นหลักประกัน
สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan): พิจารณาจากกระแสเงินสด ประวัติการเงิน และเครดิตของกิจการ ไม่ต้องใช้ทรัพย์ค้ำ
ความแตกต่าง: สินเชื่อมีหลักประกัน vs
สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน1. สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
วงเงินสูง: ได้สูงถึง 70–100% ของมูลค่าหลักประกัน
ดอกเบี้ยต่ำ: เฉลี่ย 5–7% ต่อปี
ผ่อนยาว: 10–30 ปี
กระบวนการซับซ้อน: ต้องประเมินมูลค่า จดจำนอง และเสียค่าธรรมเนียม
เหมาะกับธุรกิจ: โรงงานผลิต, โครงการก่อสร้าง, โรงแรม, ธุรกิจอสังหาฯ
2. สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
วงเงินจำกัด: ส่วนใหญ่ 1–5 ล้านบาท แต่บางสถาบันเพิ่มได้ถึง 20 ล้านบาทหากธุรกิจแข็งแรง
ดอกเบี้ยสูงกว่า: เฉลี่ย 12–28% ต่อปี
ผ่อนสั้น: 1–7 ปี
อนุมัติไว: 1–3 วันทำการในบางฟินเทค
เหมาะกับธุรกิจ: ร้านอาหาร คาเฟ่ ค้าปลีกออนไลน์ ธุรกิจบริการ
วิเคราะห์เชิงลึก: ทำไม SME บางรายยังพลาดโอกาส
ในฐานะที่ปรึกษาสินเชื่อ ผมเห็น SME จำนวนมากพลาดการอนุมัติ เพราะเข้าใจผิด เช่น คิดว่าธนาคารดูแค่ยอดขาย หรือกู้ไปใช้แบบไม่วางแผนชัดเจน ความจริงแล้ว ธนาคารให้ความสำคัญกับ “ความสม่ำเสมอของกระแสเงินสด” และ “การวางแผนใช้เงินกู้” มากกว่ายอดขายรวมเสียอีก
ตัวอย่าง: ร้านอาหารที่มีรายได้เดลิเวอรี่ต่อเนื่องและจัดทำ Cash Flow Forecast 12 เดือน มักได้วงเงินสูงกว่าร้านที่มีรายได้มากกว่าแต่ไม่มีเอกสารยืนยัน
ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแบบ
มีหลักประกัน
✅ วงเงินสูง
✅ ดอกเบี้ยต่ำ
❌ ขั้นตอนซับซ้อน ใช้เวลานาน
❌ เสี่ยงเสียทรัพย์หากผิดนัด
ไม่มีหลักประกัน
✅ อนุมัติไว ไม่ต้องใช้ทรัพย์ค้ำ
✅ ยืดหยุ่น เหมาะกับเงินทุนหมุนเวียน
❌ วงเงินน้อยกว่า
❌ ดอกเบี้ยสูง ต้องคุมกระแสเงินสดให้ดี
เลือกสินเชื่อแบบไหนดี?
ถ้ามีทรัพย์ค้ำและต้องการลงทุนยาว → เลือก สินเชื่อมีหลักประกัน เช่น กู้สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร
ถ้าไม่มีทรัพย์ค้ำและต้องการเงินไว → เลือก สินเชื่อ SME ไม่มีหลักประกัน เช่น เสริมสภาพคล่องร้านอาหาร เปิดคีออส หรือเพิ่มสต็อกสินค้า
กลยุทธ์จากที่ปรึกษาสินเชื่อ
เตรียมเอกสารก่อนยื่นจริง: Bank Statement, ภาษี, POS Statement
ทำ Business Plan กระชับ 10 หน้า: มีเป้าหมายรายได้ + แผนการตลาด + ความเสี่ยง
คุม DSR (Debt Service Ratio): ให้อยู่ที่ 30–40% เพื่อไม่ให้ภาระหนี้เกินกำลัง
ใช้โครงการค้ำของ บสย.: ช่วยผู้ไม่มีหลักทรัพย์เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นในปี 2568
อย่ากู้เกินจำเป็น: คิดวงเงินจาก “ยอดขายเฉลี่ย + กันชน 1.5 รอบสต็อก”
สรุป
ไม่ว่าคุณจะเลือก
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก แบบมีหรือไม่มีหลักประกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผนใช้เงินกู้ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม หากกู้เพื่อหมุนเวียนหรือขยายกิจการแล้วสร้างรายได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย แปลว่าสินเชื่อนั้น “คุ้มค่า”
ปี 2568 SME ไทยยังมีโอกาสเติบโต แต่เกมการกู้ยืมเข้มขึ้น การเตรียมข้อมูลจริงและมีแผนการเงินแน่น คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับวงเงินที่เหมาะสม
ต้นฉบับบทความ
สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก ไม่มีหลักประกัน📌 หากคุณต้องการคำปรึกษาส่วนตัวหรือเปรียบเทียบข้อเสนอสินเชื่อที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ ติดต่อได้ที่ www.easycashflows.com