
ทำไม “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” ถึงเป็นประเด็นใหญ่
ลองนึกภาพคุณเป็นเจ้าของกิจการ SME ที่ต้องการยื่น
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หมุนเวียนหรือสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คุณอาจคิดว่าธนาคารสนใจเพียง “ตัวเลขยอดขาย” หรือ “กำไร” แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่ธนาคารมองลึกลงไปกว่านั้นคือ “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” (Idiosyncratic Risk)
ปี พ.ศ. 2568 กฎเกณฑ์ด้าน Responsible Lending ของสถาบันการเงินไทยเข้มงวดขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยย้ำชัดว่าการพิจารณาสินเชื่อต้องอ้างอิงกับ “ความสามารถในการชำระหนี้จริง” ไม่ใช่เพียงหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ดังนั้น แม้คุณจะมีที่ดิน อาคาร หรือบัญชีเงินฝากค้ำ แต่ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงเฉพาะกิจการสูง โอกาสอนุมัติสินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกันก็อาจไม่แน่นอน
สัญญาณที่บอกว่าธุรกิจมีความเสี่ยงเฉพาะกิจการสูงเกินไป
▶ พึ่งพาลูกค้ารายเดียว
หากรายได้มากกว่า 70–80% มาจากลูกค้าหลักเพียงรายเดียว ธนาคารจะมองว่าเป็นจุดเสี่ยงร้ายแรง เพราะหากลูกค้ารายนั้นยกเลิกสัญญา ธุรกิจแทบหยุดหมุนทันที
▶ รายได้ขึ้นลงตามฤดูกาล (Seasonal)
ธุรกิจท่องเที่ยวที่ขายดีเฉพาะช่วงไฮซีซัน หรือธุรกิจเกษตรที่ขึ้นกับผลผลิตเพียงฤดูเดียว ล้วนทำให้ตัวเลข DSCR (Debt Service Coverage Ratio) ไม่สม่ำเสมอ ธนาคารจึงกังวลว่าธุรกิจอาจชำระหนี้ไม่ได้ต่อเนื่อง
▶ มีคดีความหรือภาษีค้าง
ธุรกิจที่มีคดีฟ้องร้องหรือภาษียังไม่ได้ชำระถูกมองเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายและกำกับดูแล ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของผู้ปล่อยกู้
▶ การหมุนหนี้สั้นหลายบัญชี
ผู้ประกอบการบางรายใช้
OD จากหลายธนาคารเพื่อหมุนบัญชีไปมา แม้จะช่วยสภาพคล่องระยะสั้น แต่ธนาคารใหม่จะเห็นว่านี่เป็น “สัญญาณอันตราย” สะท้อนการเงินที่เริ่มไม่สมดุล
วิธีแก้ฉุกเฉิน: เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ต้องโชว์ “หลักฐานบวก”
หากธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณหมดโอกาสยื่น สินเชื่อมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ต้องเพิ่ม “หลักฐานเสริม” เพื่อช่วยลดความกังวลของธนาคาร
▶ สัญญาต่ออายุ (Renewed Contract): แสดงว่าลูกค้าหลักยังมั่นใจและซื้อซ้ำต่อเนื่อง
▶ LOA/PO (Letter of Award / Purchase Order): ยืนยันว่ามีรายได้กำลังจะเข้ามา
▶ เอกสารปิดข้อพิพาท: หากมีการเคลียร์คดีหรือภาษีค้าง ควรแนบเป็นหลักฐานทันที
▶ ประวัติการชำระหนี้: การแสดงตารางการชำระหนี้ตรงเวลา แม้จะใช้ OD หลายบัญชีก็ช่วยเพิ่มเครดิต
🔑 Insight: ธนาคารมักให้ค่าน้ำหนักกับ “หลักฐานที่จับต้องได้” มากกว่าคำอธิบายปากเปล่า เพราะมันช่วยลด Perceived Risk ได้จริง
วิธีแก้เชิงระบบ: ลดความเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำ
▶ กระจายฐานลูกค้า
อย่าปล่อยให้ธุรกิจพึ่งลูกค้ารายเดียว พยายามเจาะตลาดใหม่ สร้างฐานลูกค้าหลากหลาย เพื่อทำให้รายได้สม่ำเสมอ
▶ กำหนดเครดิตเทอมให้รัดกุม
หากเดิมให้เครดิตลูกค้า 90 วัน ควรลดลงเหลือ 30–60 วัน เพื่อลดโอกาสที่กระแสเงินสดติดขัด
▶ ใช้การค้ำประกันโครงการเท่าที่จำเป็น
สินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อาจเสริมด้วย Performance Bond หรือ Project Guarantee แต่ไม่ควรค้ำเกินจำเป็น เพราะอาจกลายเป็นภาระผูกพันที่กระทบสภาพคล่องในอนาคต
แนบอะไรเพิ่ม: แผนบริหารความเสี่ยง (Risk Management Plan)
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ธนาคาร คือการแนบ แผนบริหารความเสี่ยง ไปพร้อมกับการยื่นกู้
ตัวอย่างแผนที่ SME ใช้ได้จริง (ปี 2568):
Risk: พึ่งพาลูกค้ารายเดียว → Action: ตั้งทีมขายหาลูกค้าใหม่ภายใน 6 เดือน → KPI: ลูกค้าหลักไม่เกิน 50% ของรายได้
Risk: รายได้ Seasonal → Action: เปิดบริการเสริมช่วงโลว์ซีซัน เช่น จัดแพ็กเกจออนไลน์ → KPI: ลดการเหวี่ยงของรายได้ต่อเดือนให้น้อยกว่า 20%
Risk: ภาษีค้าง → Action: ทำสัญญาประนอมหนี้กับกรมสรรพากร → KPI: เคลียร์ภายใน 12 เดือน
Risk: หมุนหนี้หลายบัญชี → Action: รีไฟแนนซ์รวมวงเงินเป็นก้อนเดียว → KPI: ลดดอกเบี้ยเฉลี่ย ≥ 2%
บทสรุป: ลดความเสี่ยงก่อนกู้ = เพิ่มโอกาสอนุมัติ
การยื่นขอสินเชื่อไม่ว่าจะเป็น
สินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบมีหลักประกัน หรือสินเชื่อเพื่อธุรกิจรูปแบบใดก็ตาม สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมากที่สุดในปี พ.ศ. 2568 คือ “ความเสี่ยงเฉพาะกิจการ” หากผู้ประกอบการรู้เท่าทันสัญญาณเหล่านี้และมีการเตรียมหลักฐาน–แผนบริหารความเสี่ยงที่ดี ก็จะสามารถเพิ่มโอกาสการอนุมัติและยังสร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่น่าเชื่อถือในสายตาสถาบันการเงิน
👉 หากคุณกำลังเตรียมเอกสารยื่นกู้ และอยากได้คำปรึกษาเรื่องการลดความเสี่ยงทางธุรกิจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาได้ที่ www.easycashflows.com