ในช่วงที่ต้นทุนโลจิสติกส์ยังคงอยู่ในระดับสูง และราคาน้ำมันดีเซลทรงตัวที่กว่า 30 บาทต่อลิตร (ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน ปี 2568) ผู้ประกอบการขนส่งจำนวนมากต่างมองหาทางลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารฟลีทรถ คำถามที่ผมได้ยินบ่อยในฐานะ “ที่ปรึกษาด้านสินเชื่อธุรกิจ” คือ —
“จะจัดการต้นทุนอย่างไรให้สอดคล้องกับรายได้ และใช้
แหล่งเงินทุนsmeให้คุ้มที่สุด?”
คำตอบไม่ซับซ้อน แต่ต้อง “เริ่มให้ถูก” คือ เข้าใจโครงสร้างต้นทุนของฟลีทก่อน แล้วจึงจับคู่กับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสม เพราะหากใช้วงเงินผิดประเภท ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น เงินสดตึงตัว และโอกาสขยายธุรกิจก็จะหายไปโดยไม่รู้ตัว
1. ภาพรวมต้นทุนธุรกิจขนส่ง 2568 และแนวโน้มสินเชื่อ
ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2568 ธุรกิจ SME ภาคโลจิสติกส์มีการขอ
สินเชื่อธุรกิจขนส่ง เพิ่มขึ้นกว่า 8% โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการ “รีไฟแนนซ์รถบรรทุก” และขยายฟลีทรถขนส่ง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมและอีคอมเมิร์ซกลับมาขยายตัว ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ที่ 1.50% (มติ กนง. 8 ตุลาคม 2568) ซึ่งถือเป็นระดับที่ยังเอื้อให้ธุรกิจลงทุนใหม่ได้อย่างระมัดระวัง
ต้นทุนของกิจการขนส่งในภาพรวมแบ่งได้เป็น 5 หมวดหลัก ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ซ่อมบำรุง ค่าเช่าซื้อ ค่าบริหารฟลีท และเงินลงทุนขยายฟลีท การเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนมีลักษณะเงินสดแตกต่างกัน คือจุดเริ่มของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้ถูกต้อง
2. แยกต้นทุนหลักของฟลีทรถให้ชัดก่อนยื่นขอสินเชื่อ
2.1 ค่าเชื้อเพลิง (Fuel Cost)
ต้นทุนเชื้อเพลิงคิดเป็น 30–40% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และผันผวนตามตลาดโลก ธุรกิจที่ใช้รถมากจึงควรมีวงเงินหมุนเวียนเฉพาะกิจ เช่น วงเงิน OD หรือสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อนำมาใช้บริหารค่าน้ำมันโดยเฉพาะ ซึ่งดอกเบี้ยจะคิดเฉพาะยอดที่ใช้จริง
แนวทางจากที่ปรึกษา: เชื่อม OD เข้ากับระบบ Fleet Card ของปั๊มน้ำมัน ทำให้สามารถควบคุมการเบิกจ่าย เก็บข้อมูลรายวัน และใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอวงเงินเพิ่มได้ในอนาคต เพราะผู้ให้กู้เห็น “วินัยทางการเงิน” ของธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
2.2 ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ (Maintenance & Parts)
ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงเป็นค่าใช้จ่ายกึ่งคงที่ แต่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เหมาะกับการใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ระยะสั้น (3–6 เดือน) หรือวงเงินเฉพาะกิจสำหรับซ่อมใหญ่แทนการใช้ OD หลัก เพื่อไม่ให้วงเงินหมุนเวียนเต็มเร็วเกินไป
แนวทางจากที่ปรึกษา: จัดทำตารางประวัติการซ่อมย้อนหลัง 12 เดือน แนบใบเสร็จหรือใบเสนอราคาซ่อมจริงประกอบ จะช่วยให้ธนาคารประเมินวงเงินได้แม่นยำ และเห็นภาพต้นทุนเฉลี่ยต่อคัน ทำให้พิจารณาได้เร็วขึ้น
2.3 ค่าผ่อนรถบรรทุกหรือค่าเช่าซื้อ (Truck Installment)
เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว ที่ต้องวางโครงสร้างหนี้ให้เหมาะกับรอบรายได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีรถหลายสิบคัน หากผ่อนกับหลายสถาบัน อาจเกิดภาระซ้ำซ้อน ทางเลือกคือ รีไฟแนนซ์รถบรรทุก เพื่อรวมภาระให้เป็นพอร์ตเดียว ลดดอกเบี้ยเฉลี่ยและบริหารค่างวดได้ง่ายขึ้น
ข้อสังเกตปี 2568: หลายสถาบันการเงินออกโปรแกรม “
รีไฟแนนซ์สินเชื่อ” ที่ให้ดอกเบี้ยพิเศษแก่ธุรกิจที่มีประวัติการชำระดี และอายุรถไม่เกิน 7 ปี ซึ่งเหมาะกับผู้ประกอบการรายกลางที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ให้คุ้มค่าขึ้น
2.4 ค่าใช้จ่ายบริหารฟลีท (Insurance, GPS, ภาษี, พนักงานขับ)
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้แม้จะเป็นรายเดือนแต่จำเป็นต่อการเดินรถ สามารถใช้ บัตรเครดิตธุรกิจ (Business Card) หรือ วงเงินเบิกจ่ายเฉพาะกิจ เพื่อให้ได้รับเครดิตเทอม 45–60 วันโดยไม่เสียดอกเบี้ย ถือเป็นการเพิ่มสภาพคล่องระยะสั้นอย่างชาญฉลาด
2.5 เงินลงทุนขยายฟลีทรถใหม่ (Investment in Fleet)
เมื่อตลาดเริ่มฟื้น หลายบริษัทต้องการเพิ่มจำนวนรถเพื่อรองรับคำสั่งขนส่ง แต่หากใช้เงินสดทั้งหมดจะกระทบสภาพคล่องทันที ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะคือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนส่ง แบบ Term Loan ระยะกลาง หรือใช้รถเก่าเป็นหลักทรัพย์ค้ำผสมกับ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเฉลี่ย
แนวทางจากที่ปรึกษา: อย่าขอวงเงินรวมก้อนเดียวสำหรับรถทุกคัน ให้แยกเป็นรุ่นรถ/สัญญา เพื่อง่ายต่อการคำนวณ DSCR (อัตราส่วนเงินสดเพียงพอต่อค่างวด) ซึ่งควรอยู่เหนือ 1.3 เสมอ เพื่อให้ธนาคารอนุมัติไว
3. จับคู่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้ตรงกับต้นทุน (เริ่มให้ถูก งานจะง่าย)
เมื่อเจ้าของธุรกิจขนส่งเข้าใจภาพรวมค่าใช้จ่ายของฟลีทอย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการ “จับคู่สินเชื่อให้เหมาะกับต้นทุนแต่ละประเภท” เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใดที่ตอบโจทย์ทุกอย่างได้พร้อมกัน การเลือกใช้วงเงินให้ถูกตั้งแต่แรก คือวิธีลดดอกเบี้ยและควบคุมกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพที่สุด
หากต้นทุนหลักของคุณคือค่าน้ำมันและเชื้อเพลิง ซึ่งมีความผันผวนและหมุนเร็วในแต่ละเดือน การใช้วงเงินแบบ สินเชื่อหมุนเวียน (Working Capital) หรือ บัญชี OD ที่เชื่อมกับ Fleet Card จะช่วยให้การเบิก–คืนเป็นไปอย่างยืดหยุ่น คิดดอกเบี้ยเฉพาะยอดที่ใช้จริง และควบคุมยอดใช้ได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกัน หากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นค่าซ่อมบำรุงหรืออะไหล่ ควรเลือกใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ระยะสั้น เช่น 3 ถึง 6 เดือน เพื่อให้ปิดยอดได้ตรงรอบและไม่ดึงวงเงินหลักไปใช้จนตึงมือ
สำหรับภาระระยะยาวอย่างค่าผ่อนรถบรรทุกหรือค่าเช่าซื้อ ควรใช้ สินเชื่อเช่าซื้อหรือรีไฟแนนซ์รถบรรทุก แทนการใช้เงินกู้หมุนเวียน เพราะนอกจากจะได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า ยังช่วยให้โครงสร้างหนี้ชัดเจนและค่างวดสอดคล้องกับรายได้จริงของธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงปี 2568 ที่หลายสถาบันการเงินเปิดโปรแกรมรีไฟแนนซ์พิเศษสำหรับผู้ประกอบการขนส่ง ถือเป็นจังหวะที่ดีในการปรับพอร์ตให้คุ้มค่าขึ้น
ส่วนค่าใช้จ่ายบริหารฟลีท เช่น ประกันภัย ภาษี GPS และค่าจ้างพนักงานขับรถ สามารถใช้บัตรเครดิตธุรกิจหรือวงเงินเบิกจ่ายเฉพาะกิจแทนเงินสด เพราะจะได้เครดิตเทอม 45–60 วันโดยไม่เสียดอกเบี้ย ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในช่วงรอรับชำระงานจากลูกค้าได้มาก
ท้ายที่สุด หากธุรกิจอยู่ในช่วงขยายฟลีทรถ หรือกำลังจะรับสัญญาขนส่งระยะยาว การใช้ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนส่ง แบบ Term Loan ผสมกับ สินเชื่อรีไฟแนนซ์รถเก่า จะช่วยกระจายภาระได้ดีที่สุด เพราะสามารถนำทรัพย์เดิมมาค้ำบางส่วน ลดต้นทุนเฉลี่ย และยังคงมีวงเงินสำรองไว้หมุนในระบบ ทำให้โครงสร้างการเงินของธุรกิจคล่องตัว พร้อมรับงานใหม่โดยไม่สะดุด
กล่าวโดยสรุป การเลือกใช้สินเชื่อให้ตรงกับต้นทุนคือการ “เริ่มให้ถูก” และเมื่อเริ่มถูกตั้งแต่ต้น งานด้านการเงินทั้งหมดจะง่ายขึ้นเอง ทั้งในมุมต้นทุน กระแสเงินสด และความสามารถในการขยายธุรกิจในอนาคต
4. มุมมองเศรษฐกิจปี 2568 และโอกาส รีไฟแนนซ์
ปี 2568 เป็นปีแห่ง “การปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อธุรกิจขนส่ง” มากกว่าการกู้ใหม่ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มีรถอยู่แล้วแต่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน การ รีไฟแนนซ์ รถบรรทุก จึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ที่สุด ช่วยทั้งลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลา และเพิ่มวงเงินลงทุนในคราวเดียว โดยเฉพาะในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงตัวระดับ 1.50% และการแข่งขันระหว่างธนาคารสูง ทำให้ผู้กู้ที่มีเครดิตดีสามารถเจรจาเงื่อนไขพิเศษได้
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังคงมี แหล่งเงินทุน สนับสนุนสินเชื่อ SME ด้านขนส่ง ทั้งในรูปแบบ Soft Loan และ ค้ำประกันโดย บสย. (Business Guarantee) ผู้ประกอบการที่เตรียมเอกสารครบ และแสดงให้เห็นกระแสเงินสดมั่นคง ย่อมเข้าถึงวงเงินได้ง่ายกว่ากลุ่มทั่วไป
5. สรุปจากมุมมองที่ปรึกษา
การบริหารต้นทุนฟลีทรถ ไม่ใช่เพียงเรื่องของบัญชี แต่คือ “ศิลปะของการจับคู่สินเชื่อกับต้นทุนให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น” เมื่อธุรกิจเริ่มด้วยโครงสร้างสินเชื่อที่เหมาะสม การขยายกิจการ หรือการ รีไฟแนนซ์ ในอนาคตก็จะง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ
เริ่มให้ถูก งานจะง่าย หมายถึง “แยกต้นทุน วางวงเงินให้เหมาะ และใช้แหล่งเงินทุนที่สนับสนุนการเติบโต” ไม่ใช่เพียงลดดอกเบี้ย แต่คือสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว
หากคุณต้องการอ่านเชิงลึกเรื่องการวิเคราะห์ต้นทุนฟลีทรถ พร้อมตัวอย่างผลิตภัณฑ์สินเชื่อจริงจากหลายธนาคาร สามารถอ่านต่อในบทความหลักหัวข้อ
“สินเชื่อเพื่อธุรกิจสำหรับธุรกิจขนส่ง”
ในเว็บไซต์ EasyCashflows ซึ่งอธิบายการจับคู่ผลิตภัณฑ์และแนวทางวางพอร์ตสินเชื่อขนส่งอย่างครบถ้วน
