รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ พฤษภาคม 30, 2018, 03:05:32 AM

หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ พฤษภาคม 30, 2018, 03:05:32 AM
(https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCggve.jpg)
โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูม (http://www.disthai.com/16880169/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%A1-mumps)เป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งถือได้ว่าโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้ทั่วไปในเด็กวัยเรียนรวมทั้งวัยรุ่น คนเจ็บโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและก็กดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย เนื่องด้วยมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งคือต่อมคู่ มีอีกทั้งข้างซ้ายและก็ข้างขวา ซึ่งโรคอาจกำเนิดกับต่อมน้ำลายเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจเกิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ ดังเช่นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักต้องเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่รุนแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงรวมทั้งเพศชายใกล้เคียงกัน  แต่ว่าในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่มักจะพบความรุนแรงของโรคคางทูมมากกว่าและก็เกิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 3 ปี และก็ในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในตอนกรกฎาคมถึงก.ย. รวมทั้งอาจเจอการระบาดได้เป็นบางครั้ง ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบมากในเด็ก แม้กระนั้นในปัจจุบันมีลักษณะท่าทางน้อยลงจากการฉีดยาป้องกันโรคนี้กันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติรวมทั้งความเป็นมาของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้ชี้แจงโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นว่าการเกิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี ค.ศ.1934 Johnson แล้วก็ Goodpasture สามารถทดสอบเอาอย่างการเกิดโรคคางทูมในลิงได้เสร็จ เป็นหลักฐานแสดงการพบเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี คริสต์ศักราช1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และแผนก อธิบายการทดลองทางผิวหนังรวมทั้งการวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้เสร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยทราบแจ้งชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่แสดงว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์บูด ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังสื่อความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งพบได้ในคนเจ็บโรคคางทูม ในรายงานสมัยเก่าโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม สาเหตุของโรคคางทูมมีสาเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่กลางอากาศสามารถแพร่ได้โดยการไอ จาม เช่นเดียวกับหวัด ซึ่งเชื้อไวรัสประเภทนี้เป็น
เชื้อไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยโดยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกห่อหุ้มด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะของโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม เกิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วไปประมาณ 14 - 18 วัน แม้กระนั้นอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ คนเจ็บจะเริ่มมีลักษณะป่วย เหน็ดเหนื่อย ปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามตัว ไม่อยากอาหาร  บางบุคคลอาจมีลักษณะของการปวดในช่องหูหรือหลังหูขณะบดหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่ารอบๆข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีอาการบวมแล้วก็ปวด  ลักษณะของการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ผู้เจ็บป่วยชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากเคี้ยวหรือกลืนของกิน บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (หากมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) ประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะกำเนิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในตอน ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในตอนที่บวมมาก คนไข้จะมีลักษณะพูดและกลืนลำบาก บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแค่ลักษณะของการมีไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้มองเห็นก็ได้ นอกจากนั้น พบว่าราวๆร้อยละ ๓๐ ของผู้ที่ติดโรคคางทูม บางทีอาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม ชอบพบได้สูงมากขึ้นเมื่อเกิดโรคในเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิคุ้มกันต้านโรคต่ำ อาทิเช่น



ขั้นตอนการรักษาโรคคางทูม หมอสามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติความเป็นมาอาการและก็การตรวจร่างกายของคนป่วยดังนี้



ส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวินิจฉัยในกรณีที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายที หรือเพื่อยืนยันการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคคางทูม โดยการตรวจทางภูเขามิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายวิธี เป็นต้นว่า



เพราะเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลรักษาโรคคางทูมจึงยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่สามารถทำได้โดยบรรเทาอาการและก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของสุขภาพแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีลักษณะปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด นอกจากนั้นก็จะชี้แนะขั้นตอนการทำตัวรวมทั้งให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ทั้งนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ รวมทั้งลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) แล้วก็อาการโดยรวมจะหายสนิทข้างใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็ชอบหายได้ปกติส่วนน้อยมากที่อาจมีภาวการณ์เป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบและอัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดเลือกหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก ยกตัวอย่างเช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนไข้ไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของผู้เจ็บป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือ ข้าวของ
เครื่องใช้สอย ได้แก่ ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ถ้วยชาม ฯลฯ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับการแพร่ระบาดไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อหัด หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่เชื้อได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนถึง 5 วันหน้าจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แต่มีรายงานว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนเจ็บตั้งแต่ 7 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมส่วนใหญ่ 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจเกิดจากโรคและก็ต้นเหตุอื่น ได้อีกอย่างเช่น

การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์มักจะให้คำแนะนำสำหรับเพื่อการทำตัวเพื่อบรรเทาอาการของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์ชอบเสนอแนะดังต่อไปนี้



o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 คราวหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก แล้วก็ลักษณะของการปวดไม่ดีขึ้นข้างหลังกินยาบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร แล้วก็/หรือดื่มน้ำได้น้อยหรือรับประทานไม่ได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมากมาย คอแข็ง หรือปวดท้องมาก ด้วยเหตุว่าเป็นอาการเกิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม