รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 02:00:44 AM

หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ พฤษภาคม 26, 2018, 02:00:44 AM
ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จักไคร (ภาคเหนือ) , คาหอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
วงศ์   GRAMINEAE
ถิ่นเกิด ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเรามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีบ้านเกิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , ประเทศอินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นแล้วก็ยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ เหมือนกัน โดยปกติ ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเครือญาติต้นหญ้าและสามารถแบ่งได้เป็น 6 ชนิด ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางสิงห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ (http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89) เป็นพืชล้มลุกสกุลเดียวกับหญ้า มักมีอายุมากกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับต้นเหตุทางสิ่งแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (รวมถึงใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเรามองเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อหุ้มดก ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย และเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ แกนกลางเป็นบ้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน แล้วก็จำพวก รวมทั้งเป็นส่วนที่นำมาใช้สำหรับปรุงอาหาร ใบตะไคร้มี 3 ส่วน คือ ก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ รวมทั้งใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบผู้เดียว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ และมีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แต่ว่าคม กึ่งกลางใบมีเส้นกึ่งกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบแน่ชัด ใบกว้างราว 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 เซนติเมตร  ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก จึงไม่ค่อยพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะมีดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว แล้วก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบแต่งแต้มรองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่เหมือนดอกอ้อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่จัดแจงไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้



ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย แต่ว่าก็สามารถก้าวหน้าได้ในดินเกือบทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งเจริญ รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (คงจะเกิดจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองปกป้องจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
เจอสาร  citral 80% ยิ่งกว่านั้นยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ คือ menthol, cineole, camphor แล้วก็ linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  และก็ช่วยขับลม  นอกจากนั้นมี citral, citronellol, geraneol และ cineole มีฤทธิ์ยั้งการเติบโตของแบคทีเรียอย่างเช่น E. coli   ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)



ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
คุณประโยชน์ / สรรพคุณ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นและก็ใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายประเภทอาทิเช่น ต้มยำ และก็ของกินไทยหลากหลายประเภท และใช้เป็นเครื่องเทศประกอบอาหารสำหรับขจัดกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม และก็ปรับปรุงรสให้น่าอร่อยมากยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง อย่างเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า
– ใช้ทานวด แก้เมื่อย
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครอง ยุง และแมลง
– ใช้เป็นส่วนประกอบของสารป้องกัน และกำจัดแมลง
ส่วนสรรพคุณของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันเลือด เหง้า แก้ไม่อยากกินอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้เยี่ยวขัด แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับรอบเดือน ขับระดูขาว ใช้ด้านนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
           หนังสือเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้ทั้งยังต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มจนถึงเดือดประมาณ 10 นาที ชูลงดื่มทีละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ข้างนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำรวมทั้งนำมาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน รวมทั้งคนสูงอายุ โดยในตำรับประกอบด้วยตะไคร้ และก็สมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว เบิกบานใจ ทำให้กระปรี้กระเปร่า เครียดลดลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการวิจัยทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้งานในกลุ่มผู้ถูกทดลอง ถึงแม้ยังคงจะต้องมีการปรับแก้กลิ่นแรงและรสชาติจากตะไคร้เพิ่มเติมอีกต่อไป และในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ประมาณ 60% ขณะที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าเป็นอยู่ที่ 80%  แล้วก็มีการทดสอบสมรรถนะของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดลอง แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นจำพวก Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุม โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดลองประสิทธิผลทางการคุ้มครองข้างใน 3-6 ชั่วโมง ผลของการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงราว 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดลองถึงประสิทธิภาพของตะไคร้ในการปกป้องยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดสอบเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพในการคุ้มครองปกป้องยุงได้ช้านานที่โดยประมาณ 3 ชั่วโมง  ส่วนในหัวข้อการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 และ 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นคนไทยในวัย 20-60 ปี จำนวน 30 คน ผลของการทดลองพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยิ่งไปกว่านั้นในสินค้าที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้าและก็ลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งเอาไว้  5-10  นาที  ดื่มแต่ว่าน้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ  1  ถ้วยชา  ก่อนรับประทานอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้ารวมทั้งลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ทุบเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหลังอาหาร     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)



                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยให้สร่างเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา



เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และก็สารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดสอบฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราได้น้อย ในช่วงเวลาที่สารสกัดด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา และจากผลการทดลองยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย รวมทั้งในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้ดิบได้ดี คือ สาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรสินค้าตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และ  T.  rubrum โดยไปยับยั้งการเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าวข้างต้น



ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนที่จะรั้งนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยั้งลักษณะของการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน แล้วก็ prostaglandin E2 ได้  แต่ไม่เป็นผลถ้ารั้งนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  ยิ่งกว่านั้นน้ำมันหอมระเหยตะไคร้  แล้วก็สาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดได้



เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะ หรือฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้ แล้วก็เมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าข้างในกระเพาะอาหารหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์ทุเลาลักษณะของการปวดที่รั้งนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่เป็นผลในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์เป็นmyrcene (1) นอกเหนือจากนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่สามารถทุเลาอาการปวดได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 ก./กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่กระจ่าง และเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มก./กก. เข้ากระเพาะหนูถีบจักร พบว่ามีพิษ แต่ว่าสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กก. เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้ศึกษาพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนเป็นเวลา 2 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ
          การเรียนพิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แต่ค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ (http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89)ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้งเมื่อนำน้ำสุกใบตะไคร้กับเนื้อ (โค ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และก็ 16 มก./จานเพาะเชื้อ ทดสอบกับ S. typhimurium TA98 และ TA100 ไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และก็สารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) แล้วก็ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่พบพิษด้วยเหมือนกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และน้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มิลลิลิตร แต่ว่าเมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคก./มิลลิลิตร ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่ว่าสารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคกรัม/ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แต่ว่าในขนาด 20 มคก./ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดสอบพิษของชาที่จัดเตรียมจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดและก็ฉี่ มีบางรายแค่นั้นที่มีปริมาณใบเสร็จรับเงินลิรูบิน และ amylase สูงมากขึ้น ก็เลยถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 0.8 พบว่ามีลักษณะแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจเป็นเพราะสารอื่นได้ และมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้
คำแนะนำ / ข้อควรปฏิบัติตาม

เอกสารอ้างอิง