รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 09, 2018, 01:53:53 AM

หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 09, 2018, 01:53:53 AM
(https://www.img.in.th/images/f5a4e607312af04bbcd63b3119e477c3.jpg)
กรุ๊ปบุคคลคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค



ขั้นตอนการรักษาวัณโรค (http://www.disthai.com/16828335/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84-tuberculosistb) ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งมักไม่มีอาการแสดงที่แน่ชัด การวินิจฉัยจึงควรต้องใช้หลักฐานหลายประเภทประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง เช่น ไข้ต่ำๆเบื่ออาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เจาะจง คนไข้มีอาการจับไข้และก็ไอนานเกิน 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงลักษณะการทำงานของปอดในขณะหายใจ
จากนั้นแพทย์อาจกระทำการตรวจพื้นฐานด้วยแนวทางตรวจคัดกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้วิธีการของการตอบสนองโดยกลไกภูมิต้านทานของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคไปสู่ร่างกาย โดยหมอจะทำฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน หลังจากนั้นราว 48-72 ชั่วโมง จำต้องกลับมาให้หมอหรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าเกิดบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มม. มีความหมายว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ได้ผลลบ) แต่ถ้ารอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป แปลว่าบุคคลน่าจะติดโรควัณโรค (ให้ผลบวก) แล้วก็ต้องกระทำตรวจอื่นๆ
ทางห้องทดลองที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคดังเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดยกตัวอย่างเช่น พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสลด ควรจะทำในคนเจ็บทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย ยืนยันการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสมหะรุ่งเช้าหลังตื่นนอน 3 วันติดต่อกัน จะรู้ผลด้านในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียเป็น แนวทางนี้ได้โอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแค่ประมาณกึ่งหนึ่งของคนป่วย เท่านั้น ดังนั้นคนเจ็บที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสลดก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด จุดเด่นคือ แนวทางลักษณะนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้สูงถึง 80 - 90% ของคนป่วย แต่จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงทราบผล
เมื่อหมอวิเคราะห์ว่าเป็นวัณโรคปอด แพทย์จะให้ยารักษาวัณโรค โดยธรรมดาจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 จำพวก ยกตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิท้องนาไมด์ (pyrazinamide) แล้วก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมสินจำพวกฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท เช่น ไอเอ็นเอช รวมทั้งไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    แพทย์จะย้ำเตือนให้คนไข้รับประทานยาให้ตามกำหนดทุกวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้เครือญาติช่วยเลี้ยงดูให้คนเจ็บรับประทานยาได้สม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นผลให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้เรื่อง หรือจำต้องเปลี่ยนไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นเสียแต่ให้ยาต้านไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังจำเป็นต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูตรยาที่แตกต่างกันออกไป) เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 9 เดือน
    แพทย์จะนัดหมายผู้ป่วยมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ อาการไข้และก็ไอจะเริ่มดีขึ้น รับประทานข้าวได้ และก็น้ำหนักขึ้น
    แพทย์จะกระทำการตรวจเสลด (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นช่วงๆเป็นต้นว่า เมื่อรับประทานยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และก็เมื่อสิ้นสุดการใช้ยารักษา นอกเหนือจากนั้นบางทีอาจทำการเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ดังเช่นว่า คนป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจจะทำให้ตับอักเสบได้ แพทย์จะกระทำการตรวจเลือดมองระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เพื่อดูว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า
ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทยเป็นการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลและรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น แล้วก็อาจเกิดภาวะแทรกถึงชีวิตได้ทั้งในเด็กรวมทั้งผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของผู้เจ็บป่วยสาเหตุจากปัญหาหลายประเภท ตัวอย่างเช่น การที่จะต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (อย่างน้อย 6 เดือน) ทำให้ผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการดีขึ้นนิดหน่อยหยุดยาหรือเปล่ามีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลกระทบของยาไม่ได้จึงหยุดยาเอง ฯลฯ
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ขยายได้ทางอากาศ จากคนเจ็บที่เป็นวัณโรคปอดและกล่องเสียง การต่อว่าดเชื้อเกิดขึ้นจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของคนเจ็บ ซึ่งเกิดขึ้นจากการไอหรือจาม กล่าวหรือร้องเพลง เป็นต้น การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อก็เลยสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานแล้วก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเท้าหายใจที่ถุงลมของปอดและบางทีอาจมีการติดเชื้อที่ปอดรวมทั้งแพร่เชื้อสู่อวัยวะต่างๆในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสโลหิตได้
                ปัจจัยเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อขึ้นกับปริมาณ หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศและก็ช่วงเวลาสำหรับการสัมผัสเชื้อเป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันกับคนไข้เป็นวันหรือสัปดาห์ อาทิเช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดโรคที่มีลักษณะพิเศษเป็น คนไข้ที่ติดเชื้อโรคหรือรับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายทุกรายไม่มีความจำเป็นต้องเจ็บไข้คือ ไม่มีอาการและก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การติดเชื้อระยะนี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะอำพราง/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อจากนั้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้โดยประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งโดยประมาณปริมาณร้อยละ 5  (หรือราวๆ ปริมาณร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในช่วง 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกจำนวนร้อยละ 5   จะได้โอกาสเป็นโรคต่อจากนั้นถ้าหากร่างกายมีระบบระเบียบภูมิต้านทานธรรมดา ในกรุ๊ปที่มีภูมิต้านทานภายในร่างกายบกพร่องจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าปริมาณร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค (http://www.disthai.com/16828335/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84-tuberculosistb)[/url][/size]

(https://www.img.in.th/images/07e9a392cab5878ac62d206d956a99ef.jpg)
การป้องกันตนเองจากวัณโรค



ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง