รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 02, 2018, 02:51:21 AM

หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 02, 2018, 02:51:21 AM
(https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เกิดผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก แต่ว่าก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles)นี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อระบบฟุตบาทหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกหัดนี้มีประวัติที่ไปที่มาดังนี้
         โรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles) หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่คนไข้จะมีลักษณะอาการไข้และผื่น นอกนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคฝึกฝน อาทิเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี เจอหลักฐานการร่ายงานครั้งแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed และใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์รวมทั้งให้ผลสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราวๆ 2 อาทิตย์ แล้วก็หลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิต้านทานตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากโรคหนึ่ง เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และแต่ในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนปกป้องที่มีคุณภาพสูงเกือบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคฝึกเป็นโรคที่พบเกิดได้ตลอดทั้งปี แต่ว่ามีอุบัติการณ์สูงในช่วงมกราคมถึงเดือน และช่องทางสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในสตรีแล้วก็เพศชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคฝึกฝนจากทั่วโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคฝึกหัดรวมทั้งสิ้น 5,207 คน รวมทั้ง 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงอายุที่พบคนป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 รวมทั้ง 25.85 ของแต่ละปี
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคฝึกฝน โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อหุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 จำพวก ตัวอย่างเช่น H protein ปฏิบัติหน้าที่ให้ฝาผนังไวรัสติดตามกับฝาผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความหมายสำหรับเพื่อการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงไฟ สภาพการณ์ที่เป็นกรดและก็สารที่ละลายไขมันเช่นอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และก็เชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึก  ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มเป็นไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารแล้วก็ท้องเดินร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นแล้วก็เจอ Koplik spots เป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญ มองเห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ โดยมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามด้านล่างซี่แรก (first molar) พบได้ทั่วไป 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นแล้วก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้หมายถึงไข้จะเบาๆสูงขึ้นจนสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้ารวมทั้งไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆตอนล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าถึงร้อยละ 25-50 รวมทั้งอาจสโมสรกับความร้ายแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆจะ ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็แปลงเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆโดยมากมักพินิจไม่พบเพราะหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่เจ็บป่วยแบบ biphasicเป็นไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกถัดมาอุณหภูมิกลับกลายธรรมดาไม่มีไข้ประมาณ 1 วันแล้วจึงเริ่มจับไข้สูงอีกรอบและก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกโดยประมาณ 2-3 วันหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับกลายซ้ำใหม่ควรจะตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบบ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของผู้เจ็บป่วยโรคฝึก มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและก็ผู้ใหญ่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย มูลเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายรวมทั้งผลของการกดภูมิต้านทานจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกฝนใช้การวินิจฉัยจากแนวทางในการซักความเป็นมาและก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนเจ็บจะจับไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และเจอผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ  Koplik spots (จุดด้านในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นข้อสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในกรณีที่อาการรวมทั้งอาการแสดงไม่กระจ่างบางทีอาจพินิจส่งไปทำการตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์



แนวทาง ELISA IgM ใช้แบบอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแค่ครั้งเดียวช่วง 4-30 วันหลังพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง คอยจนกระทั่งเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีวัสดุพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ต่อไป



ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล แล้วก็วัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บตอน 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป
                การดูแลรักษา เพราะการตำหนิดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ เป็นต้นว่า เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในเรื่องที่มีภาวการณ์ขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกซิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย อาทิเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบตรึกตรองรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่เหมาะสมฯลฯ
                นอกจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกได้และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคหัดได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นแพทย์ก็เลยมักพิจารณาจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

(https://www.img.in.th/images/f4d294f8b0dc610ed24ec5df50930353.jpg)
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคฝึกหัด



การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสลดของคนเจ็บ ติดต่อไปยังคนอื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อคนป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่จำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดเชื้อฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดหลังของคนป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอาทิเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่มัวหมองเชื้อ เชื้อก็จะติดมาพร้อมกับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณเชื้อไวรัสถูกขับออกมามากที่สุด ซึ่งภายในเวลา 7-14 คราวหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกฝนจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายทำให้เกิดลักษณะของระบบทางเดินหายใจ ไข้และก็ผื่นในผู้เจ็บป่วยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มิได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดได้โอกาสป่วยด้วยโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกหัด

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคฝึกหัด



แต่ทั้งนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกฝนได้หมายถึงฉีดยาป้องกัน ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคหัด 2 ครั้ง คราวแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน แล้วก็ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าชั้นเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองปกป้องได้สามโรคเป็นโรคฝึกฝน โรคคางทูม และก็โรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/หัด และก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จนตราบเท่ามีการลงทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯรเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) หลังจากเริ่มใช้วัคซีน 2 ประเภทได้เพียงแต่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝนประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเพราะว่าพบว่านำมาซึ่งการก่อให้เกิด  atypical measles โดยเหตุนี้ในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แม้กระนั้นเจอปัญหาใกล้กันที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการปรับปรุงวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston ประเภทอื่นๆด้วยขั้นตอนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงลดลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) แล้วก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงเดี๋ยวนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดเช้าไปแนวทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พุทธศักราช 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จวบจนกระทั่งปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมคุ้มครองโรคฝึก-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนรู้ปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นบอกว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการของโรคฝึกหัดมีดังนี้



 ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พ.ศ.2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาและก็บาเทาลักษณะโรคฝึกหัดได้ โดยในโบราณกาล ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย มิได้มีวัตถุประสงค์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าต้องการกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน คือไม่เกิดผื่นด้านใน ด้วยเหตุนั้นจึงมีคนไม่ใช่น้อยที่รับประทานยาเขียวแล้วจะคิดว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยจึงชี้แนะให้ใช้แนวทางกินและก็ทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง หากจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านทานขบวนการออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่เป็นไข้เป็นผื่น ดังเช่น ฝึก อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น แล้วก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีออกจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว แล้วก็ใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนมากมีคุณประโยชน์ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น ซึ่งก็คือการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากกระทั่งต้องระบายทางผิวหนัง เป็นผลให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ดังเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น หัด อีสุกอีใส ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง