รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Tawatchai1212 ที่ เมษายน 02, 2018, 01:27:35 AM

หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Tawatchai1212 ที่ เมษายน 02, 2018, 01:27:35 AM
(https://www.img.in.th/images/8885a02e97b9d617061e5f2dbe72cfcf.jpg)
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติก (http://www.disthai.com/16866038/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81-autistic-spectrum-disorder)คืออะไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกหลากหลาย รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  จนถึงในตอนนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของความเจริญหลายด้านเป็นกรุ๊ปอาการความไม่ปกติ 3 ด้านหลักเป็น



คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self หมายถึง แยกตัวอยู่คนเดียวในโลกของตน เปรียบมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กันบุคคลกลุ่มนี้ออกมาจากสังคมรอบกาย
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยหมอลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา รายงานคนป่วยเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆอาทิเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อสื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำใหม่ๆไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจผู้อื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้แตกต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบ่อยๆแปลกๆกลับพูดเก่งมาก รวมทั้งดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มาก นักวิจัยรุ่นลูกก็เลยสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ๋ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในตอนนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder”
                จากการศึกษาระยะแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกราวๆ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกมากขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั่วโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้เรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้งานเครื่องมือสำหรับการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนเจ็บที่อาจมีมากขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนประมาณ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยและก็ในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนผู้ชายต่อเพศหญิงลดน้อยลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก  มีความบากบั่นในการค้นคว้าถึงสาเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้จักสาเหตุของความผิดปกติที่เด่นชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนกระจ่างแจ้งว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากรูปแบบการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไปจากปกติ มากกว่าเป็นผลจากสภาพแวดล้อม
            ในอดีตเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดจากการอุปถัมภ์ในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุผลสำเร็จในเรื่องงาน กระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้เย็น) แต่ว่าจากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้เด่นชัดว่า รูปแบบการอุปถัมภ์ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แม้กระนั้นถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กปรับปรุงดีขึ้นได้มาก
           แม้กระนั้นในปัจจุบันนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง อาทิเช่น ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p ฯลฯ แล้วก็จากการเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเสมือน ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงยิ่งกว่าฝาแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
                รวมทั้งการศึกษาทางด้านกายส่วนแล้วก็สารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งยังทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ พบความแปลกหลายสิ่งหลายอย่างในผู้ป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบอย่างที่เฉพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งนิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ปกติของเนื้อสมอง ตัวอย่างเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกนั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้ป่วยออทิสติก พบความไม่ดีเหมือนปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงยิ่งกว่าของคนทั่วไปเป็น พบปริมาณร้อยละ 5-38 นอกจากนี้ยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายแบบโดยยิ่งไปกว่านั้น  serotonin ที่พบว่าสูงมากขึ้นในผู้เจ็บป่วยบางราย แม้กระนั้นก็ยังมิได้ข้อสรุปที่แจ่มแจ้งถึงความเกี่ยวพันของความผิดแปลกพวกนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในขณะนี้สรุปได้ว่า ต้นเหตุจำนวนมากของออทิสติกมีต้นเหตุจากพันธุกรรมแบบหลายต้นสายปลายเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวพันหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
ลักษณะของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กผู้ใดกันแน่เป็นหรือเปล่าเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะสังเกตได้จากการกระทำในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่บางครั้งอาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ    การกระทำจะเริ่มแสดงแจ่มชัดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏแจ้งชัดในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและอาการเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน ตัวอย่างเช่น



ถึงแม้เด็กออทิสติกที่มีระดับเชาวน์ปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้เรื่องแนวทางการเริ่มหรือจบทบพูดคุย พ่อแม่บางคนอาจมองเห็นความผิดปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และก็เมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะเข้าใจหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกโปกฮา



เด็กออทิสติดบางคนเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในขั้นแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีความเจริญทางภาษาที่ค่อนข้างจะดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราว 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสวนาโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวนเวียน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ



เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดกี่ โดยสิ่งที่พอใจนั้นบางทีอาจเป็นเรื่องที่เด็กทั่วๆไปสนใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างมาก เช่น จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่สนใจอาจเป็นความรู้ด้านวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลขคณิต คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานศึกษา จึงช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในสถานที่เรียนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อรั้นมากแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พอใจเป็นพิเศษ จนครั้งคราวได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กซุกซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกกำกวม ในเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างมากอาจพบการกระทำรังแกตนเอง เช่น กระแทกศีรษะหรือกัดตนเอง ฯลฯ
ในด้านเชาวน์ เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวอักษรรวมทั้งนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากความประพฤติ
                โดยกฏเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในตอนนี้ใช้หลักเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พุทธศักราช 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) คือความแตกต่างจากปกติในด้านพัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 จำพวก เป็นต้นว่า autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism
(https://www.img.in.th/images/17d5b4fc37d5d539fe8ba0b2b819be5b.jpg)
     โดยแพทย์จะมองอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการไหม ซึ่งอาการของเด็กที่มีวิวัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวินิจฉัยได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีลักษณะ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่



การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่รู้จักมูลเหตุการเกิดโรคที่เด่นชัดแน่ๆแม้กระนั้นมีผลการศึกษาเรียนรู้จำนวนหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านกรรมพันธุ์ และก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
วิธีการดูแลช่วยเหลือคนไข้ออทิสติก เนื่องมาจากโรคออทิสติกพบได้ทั่วไปมากมายในเด็ก ดังนั้นก็เลยต้ออาศั