รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: BeerCH0212 ที่ มีนาคม 27, 2018, 04:25:57 AM

หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: BeerCH0212 ที่ มีนาคม 27, 2018, 04:25:57 AM
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)



นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ



การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องจากการดูแลรักษาจะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนเจ็บ และก็ความไม่ปกติที่แพทย์ตรวจเจอเป็นหลัก แล้วก็ลักษณะของอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และเรื่องราวในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะใช้เพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันแล้วก็มีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ไม่เหมือนกันออกไปเท่านั้น อย่างเช่น การตรวจค้นระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตหมอรู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในขณะนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่ในการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นตามลำดับ โดยเหตุนี้ในปัจจุบันการรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง คือ



ก) ฝึกหัดการเดินให้ค่อยๆก้าวขาแต่พอดิบพอดี โดยเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าตีน รวมทั้งแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนี้ควรจะหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินความจำเป็น เวลาจะขึ้นเตียงจะต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนยกเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกฝนการพูด โดยเครือญาติต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และควรทำในสถานที่ที่เงียบสงบ



สิ่งจำเป็นก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยแล้วก็พี่น้อง ควรศึกษารวมทั้งทำความเข้าใจผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะเหตุว่ามีโทษนำไปสู่โรคอื่นๆที่น่าสยดสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
วิธีทดสอบดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ



นักค้นคว้าทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วหลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องราวที่มีผู้ป่วยเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดลองด้วยคำสั่งข้างต้นกับผู้แสดง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดสอบให้ผู้ทำการวิจัยรู้ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกผู้เจ็บป่วยออกมาจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามใบหน้าอ่อนแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนล้าได้ถึง จำนวนร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางที่ทำงานไม่ปกติทางคำกล่าวได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากมายด้านในสถานการณ์ที่ผู้รักษาไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ



               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาค้นพบในการวิจัย โดยได้ผลสำหรับการรักษาแจ่มชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมแล้วก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนไข้พาร์กินสัน เหตุเพราะโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ทำให้มีการเกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว ตัวอย่างเช่น การนอน ความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ตื่นตระหนก ฯลฯ
                อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนไข้กรุ๊ปโรคดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ แนะนำหากพอใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในทางเสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีช่วงที่หยุดยาม้าง อาทิเช่น แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกจากนี้ข้อควรตรึกตรองเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีสภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับบกพร่อง หรือคนป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีทิศทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ย (http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2)อินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% และก็อาจพบมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa ลำพัง
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกรุ๊ปยาที่จะต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า รวมทั้งมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในการศึกษาทางสถานพยาบาลรวมทั้งการศึกษาในคนเจ็บโรคพาร์กินสัน เพราะฉะนั้นจะต้องรอให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่มอีก และก็มีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยรับรองว่าไม่เป็นอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง