รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Tawatchai1212 ที่ มีนาคม 27, 2018, 02:16:23 AM

หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Tawatchai1212 ที่ มีนาคม 27, 2018, 02:16:23 AM
(https://www.img.in.th/images/05efba05531fbf840d0c6aa859e6f51a.jpg)
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (http://www.disthai.com/16817114/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87) MG (Myasthenia gravis)



ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาการแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวทำให้เกิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่รวมทั้งจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามอ่อนกำลังจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณปริมาณร้อยละ 10 ในผู้เจ็บป่วยสูงอายุ



ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นอยู่กับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้ทั่วไปที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) คือ อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนังตาตกและก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และก็มักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือกลายเป็นยิ้มแยกเขี้ยวด้วยเหตุว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเพลียจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวและการกลืน มีสาเหตุจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ เช่น พูดเสียงค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดไม่ได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การต่อว่าดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อรอบๆคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันหัวทุกข์ยากลำบาก นำไปสู่ปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ



นอกจากนั้น มีกล่าวว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน ทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความเปลี่ยนไปจากปกติแล้วก็โรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่นว่า โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับกลายซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

(https://www.img.in.th/images/e1926023a618782c9fd29640c93d8ee2.jpg)
การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขาแล้วก็การพูดและกลืนของกิน ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในเวลาที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายตอนเวลาบ่ายๆบางทีคนป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และก็อาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บส่วนใหญ่เพราะว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนและก็ในรายที่อาการไม่กระจ่างเช่น



อ่อนกำลังได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีภาวะหนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนเจ็บพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น



การดูแลและรักษา จุดหมายสำหรับเพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วย MG ของหมอคือการที่คนไข้หายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน



o  ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังรับประทานยาแล้วก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้รับรู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาทุกข์ยากลำบาก อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กล่าวแล้วเสียงแหบควรจะปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy จำนวนร้อยละ 90 ของผู้ป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีราวๆร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้จำนวนร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 10 แค่นั้นที่ไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยครั้ง อย่างเช่น prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาข้างต้นมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลคือประมาณ 1 ปี
  ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนไข้ทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง