รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 24, 2018, 06:42:41 AM

หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 24, 2018, 06:42:41 AM
(https://www.img.in.th/images/05efba05531fbf840d0c6aa859e6f51a.jpg)
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (http://www.disthai.com/16817114/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87) MG (Myasthenia gravis)



ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูเขามิตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาที่มาของอาการกล้ามอ่อนเพลีย ดังนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) รวมทั้งการส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ว่าในคนเจ็บกล้ามอ่อนเพลีย แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกันรูปแบบการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่แพทย์มั่นใจว่าเป็นตัวส่งผลให้เกิดการผลิตสารภูมิต้านทานเปลี่ยนไปจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตภูมิต้านทานต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันรูปแบบการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิว่ากล่าวลโคลีน (Acetylcholine) ก็เลยนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการกล้ามอ่อนกำลังดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะเบาๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามเนื้ออ่อนล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือคนป่วยบางรายมีสภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยที่เป็นผลมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบราวร้อยละ 10 ในคนไข้แก่



นอกเหนือจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ดังนี้ ประมาณ 85% ของผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนกำลังในทุกผูกของกล้ามลายส่วนอาการที่มักพบที่สุดของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG)เป็นอาการอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกกลีบตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งยัง 2 ข้างก็ได้ แล้วก็มักพบอาการไม่ดีเหมือนปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่นว่า
ใบหน้า แม้กล้ามที่เกี่ยวโยงกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะทำให้การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางถูกจำกัด ดังเช่น ยิ้มได้น้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเนื่องจากว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนแรงจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การบดและการกลืน เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ ได้แก่ พูดเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวมิได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีอาจเป็นต้นเหตุไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา มีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรง ทำให้ตั้งศีรษะหรือยกคอทุกข์ยากลำบาก ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ



ยิ่งไปกว่านี้ มีรายงานว่า เจอโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก และก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งยังคนป่วยอาจพบความไม่ดีเหมือนปกติและโรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ เช่น โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตัวเองประเภทอื่นๆ

(https://www.img.in.th/images/e1926023a618782c9fd29640c93d8ee2.jpg)
การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญเป็น fatigue และก็fluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขารวมทั้งการพูดและกลืนอาหาร ผู้ป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในช่วงเวลาที่แตกต่างกันโดยมีอาการมากช่วงบ่ายๆบางเวลาผู้เจ็บป่วยมาพบหมอตอนที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ปกติ ก็เลยไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ แล้วก็บางทีอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ง่ายๆในคนเจ็บโดยมากเพราะเหตุว่ามีลักษณะจำ เพาะทางสถานพยาบาลที่ได้กล่าวมาแล้ว การตรวจเพิ่มเติมเพื่อได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนแล้วก็ในรายที่อาการไม่ชัดเจนอย่างเช่น



อ่อนเพลียได้ดังเช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนป่วยมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตา 2 ข้างการให้คนเจ็บเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอาการอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเพลียดีขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้คนเจ็บกล่าวหรืออ่านออกเสียงดังๆคนเจ็บจะมีลักษณะอาการเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น



การดูแลรักษา เป้าหมายในการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอคือการที่ผู้ป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการคือ เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการดูแลและรักษาแตกต่าง



o  คนไข้ทุกคนจำต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้วประมวลผลการโต้ตอบว่าดีหรือเปล่า โดยการประมาณช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 และ 2 หลังกินยาและก็ประเมินตอนก่อนรับประทานยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้ทราบว่าขนาดของยาและก็ความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคือลักษณะของคนป่วย อย่างเช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนแรง บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาและก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนเจ็บgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรจะแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนเจ็บได้ประสิทธิภาพที่ดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่ร้อยละ 10 เพียงแค่นั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในตอนแรกของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้บ่อยครั้ง ดังเช่นว่า prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังกล่าวมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้เรื่องเป็นโดยประมาณ 1 ปี
  คนป่วยที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   ผู้ป่วยทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง