รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: BeerCH0212 ที่ มีนาคม 23, 2018, 11:05:53 AM

หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: BeerCH0212 ที่ มีนาคม 23, 2018, 11:05:53 AM
(https://www.img.in.th/images/59b0dc9b44054016e9c3b13842d2465d.md.jpg)
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)



สารที่เป็นพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก อย่างเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองลิเทียม พิษต่างๆอาทิเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสง ยาพารา ตัวอย่างเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคที่เกิดจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเขยื้อนมาตันได้ในระบบทางเท้าปัสสาวะ และก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น แนวทางการอักเสบทำให้เกิดการบวมของเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการรักษาก็จะทำให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตต่ำลง ภาวการณ์ไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต และ Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสั่งสมของน้ำเยี่ยว ทำให้มีการเกิดแรงดันในกรวยไตมากขึ้น และก็เป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย มะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอุดกันของระบบฟุตบาทฉี่ และส่งผลให้เกิดไตบวมน้ำตามมา



ซึ่งอาการโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกมาจากเลือดได้เท่าไหร่ โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่ราว 90-100 มิลลิลิตร/นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการชี้ให้เห็นแน่ชัด แม้กระนั้นรู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างเช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในช่วงแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราวๆ 90 มล./นาที ขึ้นไป แม้กระนั้นอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปนเปในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดลง แต่ว่ายังไม่มีอาการใดๆบอกให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียงแค่ 60-89 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆก็ตามแสดงออกมาให้มองเห็น เว้นเสียแต่ค่า eGFR ที่ต่ำลงอย่างสม่ำเสมอ โดยในระยะนี้จะแบ่งได้เป็น 2 ระยะย่อยเป็นระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มล./นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนไข้จะค่อยแสดงในเวลานี้ นอกจากค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียง 15-29 มิลลิลิตร/นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีเยี่ยวออกมากและปัสสาวะบ่อยมากตอนค่ำ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักตัวต่ำลง อ้วก อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดศีรษะ ตามัว ท้องเดินหลายครั้ง ชาตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นสาเหตุส่งผลให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยน) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบอิดโรย สะอึก กล้ามเป็นตะคิวบ่อย ใจสั่นหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีลักษณะอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะรอบดวงตา ขา แล้วก็เท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกป่วยหนักเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกจากคนป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวการณ์โลหิตจางที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งบางทีอาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวการณ์กระดูกบางรวมทั้งเปราะหักง่าย ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันเวลาก็อาจจะเสียชีวิตได้

(https://www.img.in.th/images/b1297044556997d791da3be67a751038.jpg)
หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และก็เม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการอุดตัน มีนิ่ว และมี Polycystic Kidney Disease และยังมีการวิเคราะห์แยกโรคที่ทำได้ทางสถานพยาบาลจากอาการและอาการแสดงของโรค รวมถึงตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อื่นๆการทำงานของตับ และก็ X-ray หัวใจ และตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การดูแลและรักษาไตวายเรื้อรัง แม้สงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆและก็บางรายอาจต้องทำการเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลรักษานั้นจะแบ่งได้ 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำรักษา แต่จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งหมอบางทีอาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรือบางทีอาจนัดหมายมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าค่าประเมินอัตราการกรองของไตลดน้อยลงเยอะขึ้นเรื่อยๆ) รวมทั้งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานต่ำลงอย่างยิ่ง คนเจ็บจะต้องได้รับการรักษาหลายๆแนวทางร่วมกันเพื่อเกื้อกูลอาการให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อรอการปลูกถ่ายไต และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งได้
การดูแลและรักษาที่มูลเหตุ ถ้าหากคนป่วยมีสาเหตุกระจ่าง หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกนั้นยังจะต้องรักษาภาวการณ์ไม่ปกติต่างๆที่มีสาเหตุมาจากสภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนไข้ไตวายเรื้อระยะท้าย (มักหรูหรายูเรียไนโตรเจนรวมทั้งระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 รวมทั้ง 10 มิลลิกรัม/ดล. เป็นลำดับ) การรักษาด้วยยาจะไม่เป็นผล คนเจ็บควรต้องได้รับการดูแลรักษาด้วยถูล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายบางทีอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ออกจะแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เนื่องจากการล้างไตจะมีผลข้างๆหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางบางทีอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนไข้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ก็เลยจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยรวมทั้งตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับผู้ป่วยเยอะที่สุด)
การปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย หมออาจพินิจพิเคราะห์ให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งแนวทางลักษณะนี้นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในตอนนี้ เพราะถ้าการเปลี่ยนถ่ายไตได้ผลลัพธ์ที่ดีก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนคนปกติและก็มีอายุได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การปลูกถ่ายไตก็เป็นวิธีการรักษาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ มีราคาแพง รวมทั้งจะต้องหาไตจากเครือญาติสายตรงหรือผู้สงเคราะห์ที่มีไตกับเนื้อเยื่อของผู้เจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่ใช่ง่าย ทั้งยังปริมาณของไตที่ได้รับการให้ทานก็ยังมีน้อยกว่าคนที่รอคอยรับการบริจาค ผู้ป่วยจึงอาจจะต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตถัดไปเรื่อยๆจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้ว่าจะได้รับการล้างไตแล้ว แม้กระนั้นลักษณะของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้เจ็บป่วยต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตแค่นั้น) ยิ่งไปกว่านั้น คราวหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันแต่ละวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่



ในรายที่หรูหราความดันเลือดสูง ควรจะลดความดันเลือดให้เข้าขั้นน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการรับประทานอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย แล้วก็รับประทานยาจากที่หมอชี้แนะอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงธรรมดา โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะต้นๆก็เลยจะสามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ ผู้เจ็บป่วยควรได้รับการดูแลรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินเยี่ยว รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกจากนั้นคนป่วยโรคไตเรื้อรังควรจะได้รับการพิสูจน์เลือดแล้วก็ปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อประเมินหลักการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกซ้อมที่เกิดขึ้นจากโรคไตเรื้อรัง

เอกสารอ้างอิง