รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 21, 2018, 10:52:35 AM

หัวข้อ: โรคไข้เลือดออก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 21, 2018, 10:52:35 AM
(https://www.img.in.th/images/ed96105b47520a51625686ac3bce8348.jpg)
โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

(https://www.img.in.th/images/72db7d0d4c4429bbb268f3787b9f8f1c.jpg)
เนื่องจากว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลและรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก พูดอีกนัยหนึ่ง มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว และก็การปกป้องภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแค่ประเภทเดียวเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ปริมาณยาที่ใช้ในคนแก่คือ พาราเซตามอลรูปแบบเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานทีละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กเป็น พาราเซตามอลรูปแบบน้ำ 10-15มก.ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีจัดจำหน่ายในหลายความแรงเป็นต้นว่า 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา พอๆกับ 5 มิลลิลิตร), 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา, และก็ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำเป็นต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กอ่อน การป้อนยาทำได้ค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยใส่ในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงแต่ใช้หลอดหยดดูดยาออกมาจากขวดแล้วก็นำไปป้อนเด็กได้เลย ตามที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง ควรต้องอ่านฉลากและก็วิธีใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าหากเด็กหนัก 10 โล และมียาน้ำความแรง 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มล. แล้วก็ป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแต่ไม่ควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง หากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ด้วยเหตุดังกล่าวหากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้โดยทันทีส่วนยา แอสไพรินและไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้เหมือนกัน แม้กระนั้นยาทั้งสองประเภทนี้ ห้ามประยุกต์ใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องด้วยจะยิ่งสนับสนุนการเกิดสภาวะ เลือดออกไม่ดีเหมือนปกติกระทั่งบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคนเจ็บได้ ในส่วนการป้องกันภาวะช็อกนั้น ปฏิบัติได้โดยการชดเชยน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดต่ำลงจนทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะพิเคราะห์ให้สารน้ำตามความรุนแรงของอาการ โดยบางทีอาจให้ คนไข้ดื่มเพียงแต่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือผู้ป่วยบางราย อาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ  ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยเกิดภาวะเลือด ออกไม่ปกติกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเพิ่มอีก อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเฝ้าระวังภาวการณ์ช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องมาจากสภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนป่วยอย่างมากมาย



การคุ้มครองป้องกันด้านกายภาพ ตัวอย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด เช่น มีเขาหินปิดปากโอ่งน้ำ ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าเกิดไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงหากยังไม่ต้องการที่จะอยากใช้ เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนแปลงน้ำในแจกันดอกไม้สดเป็นประจำขั้นต่ำทุกๆ7 วัน ปลดปล่อยปลากินลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ เป็นต้นว่า โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้ที่เอาไว้เลี้ยงปลาก็ควรมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อรอควบคุมจำนวนลูกน้ำยุงลายเหมือนกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมแล้วก็กำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้เป็นเวลายาวนานกว่า 7 วัน
การป้องกันทางเคมี ได้แก่ เติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้และรับประกันความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลารับประทานลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวสมบูรณ์เต็มวัย มีคุณลักษณะเด่นก็คือ คุณภาพสูง แต่ว่าข้อด้อยคือ แพงแพง และเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง ก็เลยจำต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการฉีดพ่นรวมทั้งฉีดเฉพาะเมื่อต้องเพียงแค่นั้น เพื่อคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดตอนที่มีคนอยู่น้อยที่สุดรวมทั้งฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ เป็นต้นว่า ท่อที่มีไว้ระบายน้ำ เป็นต้น การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิด คือ ยาจุดกันยุง รวมทั้งสเปรย์ฉีดไล่ยุง โดยสารออกฤทธิ์บางทีอาจเป็นยาในกลุ่มผู้จองเวรทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น ครั้งก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า ดีดีที แม้กระนั้นสารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเพราะเหตุว่าเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและก็หลงเหลือในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากมาย แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์ ฉะนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังที่ได้กล่าวมาแล้วควรจะจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกคราวหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากยิ่งกว่า ฉะนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง แล้วก็ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตัว ดังเช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ถูกยุงกัด โดยต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน หากไม่สามารถที่จะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงจำพวกทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ว่าคุณภาพจะต่ำกว่า DEET



สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยในการไล่ยุงเพราะกลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในขณะนี้มีการทำออกมาในรูปของสารสกัดจำพวกต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองยุงโดยยิ่งไปกว่านั้น แต่ถ้าเกิดอยากให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสุดๆควรที่จะใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงจำพวกที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะเยี่ยมที่สุด นอกเหนือจากกลิ่นจะช่วยขับไล่ไสส่งยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงใช้เปลือกส้มที่แกะออกมาจากผลส้มแล้วมาผึ่งจนแห้ง แล้วนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นรวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีคุณประโยชน์อย่างดีเยี่ยมสำหรับเพื่อการไล่ยุง  มะกรูด นับว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยคุณประโยชน์ รวมทั้งยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม กระบวนการคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาโขลกกับน้ำเท่าตัวจนกระทั่งแหลกละเอียด ต่อจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมหวนแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ช่วยสำหรับเพื่อการไล่ยุงแล้วก็แมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะทนกับกลิ่นแรงของโหระพาได้ สะระแหน่ ถือเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม แต่ว่ากลิ่นหอมยวนใจๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก วิธีการไล่ยุงเพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนไม่ใช่น้อยหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะทำให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยและก็ยังช่วยเหลือกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง