รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - boiopil020156889

หน้า: [1] 2 3 ... 5
1
กวาวเครือ

2

สมุนไพรพญายอ
เสมหะพังพอนตัวเมีย
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาแพทย์ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสมหะพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่), พญาปล้องคำ (ลำปาง), เสลดพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาปล้องดำ พญาบ้องทอง (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วๆไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (จีนกลาง) เป็นต้น
ลักษณะของเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มปนเถา มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นบ้องสีเขียว แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการปักชำหรือแยกเหง้าแขนงไปปลูก เติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ถูกใจดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีแสงแดดจัด มีเขตผู้กระทำระจายพันธุ์ในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย แล้วก็ไทย ในประเทศไทยพบมากขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วๆไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบลำพัง ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวราวๆ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสลดพังพอนตัวเมีย มีดอกเป็นช่อกลุ่มที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวราว 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก คือ ปากล่างแล้วก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนเป็นต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียหมดจดไม่มีขน ออกดอกในตอนโดยประมาณต.ค.ถึงม.ค. (แต่มักจะไม่ค่อยออกดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทองคำ
ลิ้นงูเห่า
ผลเสลดพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลสำเร็จแห้งและแตกได้ (แต่ว่าผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราวๆ 0.5 ซม. ก้านสั้น ภายในผลมีเม็ดโดยประมาณ 4 เม็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 จำพวกหมายถึงเสลดพังพอนตัวผู้ แล้วก็เสมหะพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะไม่เหมือนกันตรงที่เสมหะพังพอนตัวผู้ลำต้นจะมีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสมหะพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงหลายๆหนังสือเรียนก็เลยนิยมเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาปล้องทองคำ” โดยเสมหะพังพอนตัวผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมีย และแบบเรียนยาไทยนิยมนำมาใช้ทำยากันมาก
สรรพคุณของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากแล้วก็เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำเป็นยาบำรุงกำลัง (รากแล้วก็เปลือกต้น)
ทั้งต้นและก็ใบใช้กินเป็นยาถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน (ต้นแล้วก็ใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการกางใบสด 1 กำมือ ตำให้รอบคอบ ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนศีรษะคนเจ็บโดยประมาณ 30 นาที อาการไข้แล้วก็ลักษณะของการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (ทานอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มรับประทานทีละราวๆ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาบดราว 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการกางใบสดประมาณ 10-15 ใบ ตำอย่างละเอียดผสมกับเหล้าโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป แล้วก็ลักษณะของการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ทั้งต้นรวมทั้งใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับระดู (ราก)
ใช้เป็นยาแก้รอบเดือนมาไม่ดีเหมือนปกติ (ต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน (อีกทั้งต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบเป็นไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการกางใบสดประมาณ 3-4 ใบ นำมาตำอาหารสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำพอเพียงเปียก ใช้พอกราว 2-3 รอบ จะช่วยให้อาการดีขึ้น (ใบ)
ลำต้นนำมาฝนแล้วก็ใช้ทาแผลสดจะช่วยให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดโดยประมาณ 5 ใบ นำมาตำพอกบริเวณแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำต้มกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดนำมาตำอย่างระมัดระวังผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก จะมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนก้าวหน้า4 ส่วนอีกตำราระบุว่า นอกเหนือจากที่จะใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเหตุเพราะถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และก็แผลที่เกิดจากการถูกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ใบราวๆ 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เพิ่มเติมน้ำลงไปให้พอเพียงเปียก แล้วนำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองก้าวหน้า ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปสักพักหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการกางใบสดตำผสมกับสุราใช้ทา หรือใช้สุราสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวนำมาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและก็เม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบเอามาตำผสมกับเกลือและก็สุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนยาทุกตอนเช้าและเย็น (ใบ)
ต้นและก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ตัวอย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 5-10 ใบ เอามาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้เพียงพอแหลก แช่ในเหล้าขาวราวๆ 1 อาทิตย์ แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ผื่นคัน ตามข้อมูลระบุว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำนิดหน่อย ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

ชาวเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา รวมทั้งใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสดประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นเงา ไม่อ่อนหรือแก่จนกระทั่งเกินความจำเป็น) แล้วนำมาตำผสมกับสุราหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล หรืออีกแนวทางให้จัดแจงเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 โล เอามาปั่นให้ละเอียด เพิ่มแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งเอาไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังละอองน้ำให้ความจุน้อยลงครึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) รวมทั้งเพิ่มเติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสลดพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก รวมทั้งใช้ทำลายพิษต่างๆสำหรับตำรายาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับดอกลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเสมอกัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับสุรา แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามท้องดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลนไฟให้ร้อน แล้วนำมาคลึงเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกเสียก่อน แล้วจึงใช้ใบเสลดพังพอนผสมกับสุราทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า และยางสาวน้อยผัดแป้ง ด้วยการกางใบผสมกับเหล้า นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้หัด เหือด ด้วยการกางใบสดราวๆ 7 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกและก็ผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งคู่มาผสมกัน ใช้อีกทั้งกินรวมทั้งชโลมทา (ยาทาให้ใส่พิมเสนลงไปบางส่วน) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ทั้งยังต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม เคล็ดลับปวดเมื่อย ฟกช้ำ กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นภายในร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อยเนื่องจากว่าเย็นเปียกชื้น (อีกทั้งต้น)
รากใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดเมื่อยบั้นเอว (ราก)
ขนาดและวิธีใช้ : ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนยาสดให้ใช้ทีละ 30 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือตำพอกแผลข้างนอก
ข้อควรคำนึงพญายอ
: ถึงแม้ในอดีตจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็นแผล แต่ว่าในขณะนี้วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะเหตุว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล รวมทั้งอาจก่อให้ติดโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสลดพังพอนตัวเมีย
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ [/url]รากพบสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบพบสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides อาทิเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเริม
จากการทดสอบในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสลดพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสลดพังพอนตัวเมียจำนวนร้อยละ 5 ใน Cold cream รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ นำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กิโล มีประสิทธิภาพต่อต้านการอักเสบก้าวหน้า
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีว่ากล่าวคได้ โดยสารสกัดความแรง 90 มิลลิกรัมต่อโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก.ต่อกก. ส่วนสารสกัดด้วยน้ำรวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่มีผลลดความเจ็บ
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะซิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 แล้วก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ตอนที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์ และจากรายงานการดูแลรักษาคนไข้โรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสมหะพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้ป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบรวมทั้งยา acyclovir โดยแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ โดยยาที่สกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมียจะไม่ทำให้มีการเกิดการอักเสบแล้วก็เคือง ในระหว่างที่ acyclovir จะทำให้แสบ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาที่ทำจากเสลดพังพอนตัวเมียในผู้เจ็บป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลและก็ลดการอักเสบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเริมและก็อีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลรักษาคนไข้โรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 1-2 สัปดาห์ กระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนไข้หวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบเสลดพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และก็หายภายใน 7-10 วัน จะมีจำนวนมากกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็ระดับความเจ็บจะลดน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก โดยไม่พบผลกระทบอะไรก็ตาม9
จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษบางส่วน แต่จะเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกิโลกรัม (เสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อนำมาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่นำไปสู่อาการเป็นพิษใดๆก็ตาม
จากการเล่าเรียนพิษครึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 และก็ 540 มิลลิกรัมต่อกก. ให้หนูแรททุกวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเติบโต แต่พบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในขณะที่น้ำหนักของตับมากขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่ปรารถนาแม้กระนั้นอ http://www.disthai.com/

3

บัวบก
ใบบัวบกสมุนไพรจีนโบราณที่ได้ยินชื่อกันมานาน นี่เป็น สรรพคุณของใบบัวบกที่ทราบแล้วต้องรักเจ้าสมุนไพรนี้มากกว่าเดิม
          เชื่อว่าหลายคนก็คงจะเคยทราบกันมานักต่อนักว่าเวลาช้ำในให้ดื่มน้ำใบบัวบก เนื่องจากจะช่วยทำให้หายจากอาการช้ำในเร็วขึ้น แม้กระนั้นหารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วเจ้าสมุนไพรที่มีนามว่าใบบัวบก ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่นำมาใช้กันตั้งแต่โบราณนั้นก็ยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมากมาย อีกทั้งช่วยทำนุบำรุงสุขภาพ รักษาโรค หรือแม้แต่ช่วยบำรุงรักษาความสวยงาม ต้องการทราบกันแล้วใช่ไหมล่ะว่าใบบัวบก สมุนไพรที่เชื้อเชิญให้รู้สึกเหม็นเขียวจะมีสรรพคุณอะไรดีๆอีกบ้าง งั้นทดลองไปดูที่พวกเราถือมานำเสนอในวันนี้กันเลยดีกว่า บอกได้คำเดียวเลยว่า รู้แล้วต้องลืมกลิ่นเขียวๆเหล่านั้นไปเลยแน่นอน

  • แก้ไขปัญหาเส้นโลหิตขอด


          เมื่อเส้นเลือดสูญเสียความยืดหยุ่นก็ทำให้หลอดเลือดดำเกิดการฉีกจนขาดแล้วก็ทำให้เลือดไหลออกมาคั่งอยู่รอบๆขา เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอาการบวมที่เรียกว่าอาการเส้นเลือดขอดนั่นเอง โดยมีการเล่าเรียนพบว่าการรับประทานใบบัวบก สามารถลดอาการบวมรวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น โดยในการศึกษาเรียนรู้นั้นได้ทำทดลองกับอาสาสมัครกว่า 90 คน ที่มีลักษณะอาการของเส้นโลหิตขอด แล้วก็เมื่อกินใบบัวบกเข้าไปแล้วก็พบว่าอาการเส้นโลหิตขอดนั้นเมื่อเทียบกับผู้ที่กินยาหลอก แล้วก็เมื่อทำการอัลตราซาวด์ก็พบว่าผู้ที่กินใบบัวบกมีการรั่วไหลของเส้นเลือดดำน้อยลงจ้ะ

  • รักษาแผลและก็รักษาโรคผิวหนังบางชนิด


          หนึ่งในสารสำคัญที่ทำให้ใบบัวบกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรที่มากคุณประโยชน์ก็คือสารไตรเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ที่มีการเรียนรู้กับสัตว์แล้วพบว่าสามารถช่วยสมานรอยแผลได้ นั่นก็เป็นเพราะเหตุว่าสารดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจะทำหน้าที่สำหรับเพื่อการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับรอยแผล รวมทั้งช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนไปยังบริเวณรอยแผลเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บาดแผลเบาๆหายดียิ่งขึ้นในระยะเวลาที่ลดน้อยลง ทั้งยังสารจากใบบัวบกก็ยังช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดรอยแผลได้อีกด้วย วิธีใช้ก็ไม่จำเป็นต้องนำใบบัวบกมาตำแล้วพอกให้ยาก เนื่องจากว่าเวลานี้มีแบบที่เป็นครีมผสมสารสกัดไว้ทาโดยเฉพาะ แค่เพียงเลือกให้เหมาะสมกับประเภทบาดแผลก็ช่วยได้มากเลยล่ะ

  • ระบายความร้อน


          ความร้อนในร่างกายถ้าเกิดสูงมากเกินความจำเป็นอาจจะเป็นผลให้ร่างกายกำเนิดลักษณะของการมีไข้ ตัวร้อน อยากกินน้ำ ตลอดจนการอักเสบ ด้วยเหตุนี้การกินใบบัวบกที่มีฤทธิ์เย็น จึงสามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ ทั้งยังช่วยขับพิษร้อนออกมาจากร่างกายได้อีกด้วย

  • ขับพิษร้อน รวมทั้งความชื้น


          โรคต่างๆที่เกิดขึ้นจากความร้อนรวมทั้งความชุ่มชื้น อาทิ โรคดีซ่าน นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือโรคบิด สามารถทุเลาได้ด้วยการกินใบบัวบก เนื่องมาจากใบบัวบกนั้นมีฤทธิ์ขมเย็น สามารถช่วยสลายความชื้นในร่างกายและก็ขับความร้อนออกมาได้ แม้กระนั้นก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะเหตุว่าหากรับประทานมากมายๆอาจจะก่อให้ร่างกายเย็นจนเกินไปและก็ก่อให้เกิดอันตรายได้
สรรพคุณใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า

  • ลดความกระวนกระวาย ช่วยทำให้จิตใจสงบ


          สารตรีเตอร์ปินอยด์ (Triterpenoids) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในใบบัวบกนั้น นอกจากจะช่วยสำหรับการสมานแผลรวมทั้งรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้รวมทั้งยังมีฤทธิ์สำหรับในการลดความกระวายกระวนแล้วก็ช่วยกระตุ้นกลไกแนวทางการทำงานของสมอง โดยมีการเรียนหนึ่งพบว่าผู้ที่กินใบบัวบกมีแนวโน้มที่จะตกอกตกใจกับเสียงรบกวนน้อยกว่าผู้ที่กินยาหลอก แต่ว่าก็จะต้องใช้ในปริมาณที่สูงมาก จึงยังไม่มีการยืนยันแจ่มกระจ่างว่าควรที่จะใช้จำนวนใดก็เลยจะสำเร็จและไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมาค่ะ

  • รักษาโรคหนังแข็ง


          เพราะว่าใบบัวบก มีฤทธิ์สำหรับการลดการอักเสบต่างๆในร่างกาย ก็เลยสามารถใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคหนังแข็งได้ โดยมีการเรียนกับสตรี 13 มีลักษณะของโรคหนังแข็งพบว่า การใช้ใบบัวบกสามารถลดอาการปวดตามข้อ และลดการเกิดหนังแข็ง รวมทั้งทำให้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่ว่าทั้งนี้ก็จะต้องอยู่ในจำนวนที่หมอควบคุมเท่านั้น

  • ช่วยทุเลาอาการนอนไม่หลับ


          ผู้ใดที่ชอบนอนไม่หลับบ่อยๆทดลองหาใบบัวบกมารับประทานก็ดีเช่นกันนะ ด้วยเหตุว่าใบบัวบกไม่เฉพาะแต่ช่วยลดความกระวนกระวายแค่นั้น แม้กระนั้นก็ยังช่วยทำให้จิตใจสงบรวมทั้งบรรเทาลงได้ ทำให้สามารถนอนหลับได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยแค่เพียงรับประทานเสมอๆก่อนนอน ก็จะช่วยให้การนอนได้อย่างน่าประหลาดใจเลย
คุณประโยชน์ใบบัวบก คุณประโยชน์เลอค่า

  • ลดระดับความดันโลหิต


        กรมความก้าวหน้าหมอแผนไทยและการแพทย์ลู่ทาง ได้ออกมาแนะนำว่าใบบัวบกเป็นเยี่ยมในสมุนไพรที่ช่วยลดความดันเลือดได้ ด้วยเหตุว่าเจ้าใบบัวบกนั้นจะไปทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาวการณ์ความเครียดอันเป็นมูลเหตุที่ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง ดังนี้วิธีการรับประทานก็ไม่ยาก เพียงแค่นำใบบัวบกไปคั้นน้ำแล้วนำมาดื่ม จะนำไปผสมกับน้ำผึ้งสักน้อย หรือผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆเพื่อลดความเหม็นเขียวก็ทำเป็นค่ะ

  • ลดอาการบวม


          อาการบวมช้ำเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ระบบไหลเวียนเลือดรอบๆดังกล่าวดำเนินการไม่ดีเหมือนปกติส่งผลให้เกิดอาการคั่งของเลือด การรับประทานใบบัวบกไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำคั้นดื่ม หรือแบบที่เป็นสารสกัดแคปซูล สามารถช่วยลดอาการบวมช้ำรอบๆรอยแผลได้ แล้วก็ยังลดอาการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการบวมได้อีกด้วย

  • บำรุงสมอง


          ใบบัวบกเป็นพืชอีกชนิดที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยคุ้มครองสารอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์สมอง รวมทั้งช่วยคลายความเมื่อยล้าของสมอง เพิ่มแนวทางการทำงานของสมองและก็ความจำ แถมยังสามารถลดสภาวะเศร้าหมอง และก็สามารถช่วยยับยั้งอาการของโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดขึ้นในสมองได้
สรรพคุณใบบัวบก ผลดีเลอค่า

  • รักษาอาการติดเชื้อโรค


          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งจำพวกที่ช่วยรักษาโรคหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมช่วยรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินเยี่ยว และก็อาการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสต่างๆได้อีกเพียบเลย พูดได้ว่าไม่ว่าจะติดโรคอะไรก็แล้วแต่ ใบบัวบกสามารถช่วยรักษาได้หมด แต่ว่าทั้งนี้ก็จะต้องใช้ในจำนวนที่สมควร และก็ภายใต้การดูแลของผู้ชำนาญนะ

  • บรรเทาอาการอ่อนแรง


          เว้นเสียแต่รักษาอาการป่วยต่างๆแล้ว ใบบัวบกยังสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากความเมื่อยล้าได้ และถ้ารับประทานในช่วงอากาศร้อนๆด้วยละก็ น้ำใบบัวบกก็สามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายและก็ดับกระหายได้เป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ

คุณประโยชน์ใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า

  • บำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์


          ใบบัวบก เป็นอีกหนึ่งในสมุนไพรเพื่อความงดงามที่อยู่ใกล้ตัวมากๆที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าใบบัวบกมีสารที่ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนรวมทั้งอิลาสตินในร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มเปียกชื้น มองอ่อนวัย นอกเหนือจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระในใบบัวบกก็ยังช่วยยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ก็เลยไม่น่าแปลกเลยล่ะถ้าเกิดคุณจะได้เห็นชื่อของเจ้าใบบัวบกเป็นหนึ่งในส่วนผสมของเครื่องทำให้หมดจดผิว ทั้งนี้ยังสามารถนำใบบัวบกสดๆมาใช้พอกหน้าได้อีกด้วย โดยมีวิธีดังนี้ค่ะ
           - ใบบัวพอกหน้า บำรุงผิวสวยใส ลบรอยตีนกา
วิธีทำ

  • นำใบบัวบกสดมาล้างชำระล้าง แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • เอามาปั่นหรือบดกับน้ำที่สะอาด 1 แก้ว
  • เอามาพอกหน้า หรือนำสำลีชุบน้ำใบบัวบกขึ้นมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำเป็นประจำทุกวี่วันก่อนนอนจะช่วยทำให้บริเวณใบหน้ามองอ่อนกว่าวัย
  • กำจัดเซลลูไลท์


          ผู้หญิงที่หนักใจกับเซลลูไลท์ที่เป็นศัตรูความสวยสดงดงามของคุณผู้หญิงอยู่ ขอบอกใบบัวบกช่วยคุณได้จ้ะ แค่เพียงกินใบบัวบกเสมอๆก็สามารถที่จะช่วยให้เซลล์ไขมันเซลลูไลท์ถูกขับออกมาจากร่างกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น และก็ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดิบได้ดีขึ้น และลดการอักเสบอันมีต้นเหตุมาจากเซลลูไลท์ได้อีกด้วยล่ะ

  • บำรุงเส้นผมและก็หนังศีรษะ


          คนไม่ใช่น้อยที่มีปัญหาเกี่ยวกับผมหล่นก็อาจจะค้นหาทุกแนวทางเพื่อบำรุงให้เส้นผมแล้วก็หนังหัวแข็งแรงเพื่อที่จะได้มีผมดกดำ ใบบัวบกก็เป็นอีกสมุนไพรหนึ่งที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านนี้ โดยปัญหาผมร่วงส่วนมากก็เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากรากผมที่อ่อนแอและการไหลเวียนของโลหิตบนหนังหัวไม่ดี ซึ่งใบบัวบกนี้มีฤทธิ์สำหรับการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ แล้วก็ยังช่วยทำนุบำรุงให้รากผมแข็งแรง ปกป้องผมหล่นทำให้ผมที่ขึ้นใหม่มีความแข็งแรงและก็ดกดำเงาสวยได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีอะไร
          ได้มองเห็นคุณประโยชน์ดีๆของใบบัวบกกันไปแล้วอย่างนี้ ผู้ใดที่ยังส่ายหน้าให้กับกลิ่นเขียวๆของใบบัวบก ก็คงจะทดลองหันกลับมาดูเสียใหม่ ถึงแม้อาจจะมีกลิ่นฉุนไปเสียหน่อย แม้กระนั้นคุณประโยชน์ที่ได้รับก็ดีแล้วไม่น้อยเลย หากไม่ลองเสียดายห่วยเลยนะ http://www.disthai.com/

4
อื่น ๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 10:38:48 AM »

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในตระกูลหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเชื้อสายต้นหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยประเภทหนึ่งที่นิยมเอามาทำอาหาร โดยตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา แล้วก็ไทย
ตะไคร้ เป็นทั้งยังยารักษาโรครวมทั้งยังมีวิตามินและแร่ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย อาทิเช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ
สรรพคุณของตะไคร้
มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งทุเลาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาอาการปวดได้
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้คลื่นไส้ถ้าเกิดนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นและก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคโรคหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆทรวงอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเดิน (ราก)
ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืด (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับในการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยในการขับฉี่
ช่วยแก้อาการฉี่ทุพพลภาพและรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านทานเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน หากนำไปผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆ

คุณประโยชน์ของตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี
ช่วยสำหรับในการบำรุงและรักษาสายตา
มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและก็ฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ
สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยจัดการกับปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับเพื่อการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักประเภทอื่นๆจะช่วยคุ้มครองปกป้องแมลงได้เป็นอย่างดี
นำมาใช้เป็นองค์ประกอบของสารหยุดกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยขจัดกลิ่นคาวหรือเหม็นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี
กลิ่นหอมหวนของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและก็กำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นส่วนประกอบของสินค้าจำพวกยากันยุงจำพวกต่างๆยกตัวอย่างเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ดังเช่นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
มักนิยมประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการประกอบอาหารหลายแบบ อาทิเช่น ต้มยำ รวมทั้งอาหารไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรสชาติ
วิธีทําน้ําตะไคร้หอม
คุณประโยชน์ตะไคร้จัดเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำเปล่า 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ตีให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด ตราบจนกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาผสมกับน้ำจนเป็นสีเขียว
รอสักครู่แล้วชูลง หลังจากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพอใจ
เสร็จแล้วขั้นตอนการทำน้ำตะไคร้
วิธีทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นอย่างแรกให้จัดแจงวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาตีให้แหลกพอควร แล้วใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และก็ใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักราวๆ 5 นาที เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้และใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2-3 รอบ แม้กระนั้นรสอาจจืดจางลงไปบ้าง เอามาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น แถมช่วยบำรุงสุขภาพอีกด้วย
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาซิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มก. และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่กึ่งหนึ่งของปริมาณหนูขาวทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโลกรัม รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษฉับพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับได้มาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไม้ได้รับ รวมทั้งค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

5

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ เรากำลังดูหนังการสู้รบอยู่หรอ ไม่ขอรับ บุกในที่นี้มิได้ถึงศัตรูบุก แต่หมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก รวมทั้งที่จำต้องหนี ไม่ใช่คนใดตรงไหน แต่ว่าเป็นโรคฮอตฮิตในขณะนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จะต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นเป็น หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในประเทศไทย มันก็ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเหมือนทุกๆวันนี้เนื่องจากจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชท้องถิ่นอยู่ดี  คนภายในแคว้นก็นำบุกมาทำกับข้าว เหมือนเผือก เหมือนมันทั่วไปพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยแปลงเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการดัดแปลงเป็นแบบอย่างต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงไม่ช้าเหลือเกินที่จะนำทุกท่านมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นอสุรกาย  น่ากลัวครับผมชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อสกุล    ARACEAE
ชื่อตามแคว้น  :  บุกคุงคก (จังหวัดชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราเจอบุกพอดีไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่ตาม ชายป่า และบางทีก็พบตามพื้นที่ ทำไร่ทำนา ดังเช่นที่ปทุมธานี และก็จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกชนิด แต่จะเจริญวัยได้ดิบได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก แสดงให้เห็นองค์ประกอบคือใบบุก แล้วก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ชนิดเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่โดยประมาณ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์บางทีอาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่บางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะราวกับใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางจำพวกมีก้านใย เป็นลวดลายบางประเภทมีหนามอ่อนๆ หรือบางครั้งบางคราวบุกบางจำพวกก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวข้างบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่มากมายมากมาย  แม้กระนั้นที่เด่นๆสังเกตง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่ว่าบาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม โดยเหตุนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบอย่างขึ้นกับจำพวกของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกคล้ายต้นหน้าโค แต่ละประเภทมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงแตกต่าง บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกชนิดอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายหน้าแล้ง แต่ว่าบุกสามารถออกดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับในการแก่เต็มที่ ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุก (อย่าสับสนกับหัวบุกนะ ) ภายหลังจากดอก ผสมพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ว่าเมล็ดด้านในไม่เหมือนกัน พบว่าส่วนใหญ่มีเม็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางจำพวกก็มีเม็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเตรียมอาหาร
เป็นพืชของกินพื้นบ้านซึ่งคนประเทศไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค เป็นต้นว่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทำขนมที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานอาหาร ทางภาคเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนภูเขา มักนำมา ปิ้งกิน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปทำเป็นของว่าง
*บุกมีหลายชนิดหลายประเภท อาจขมแล้วก็เป็นพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ในขณะที่ก้านใบแล้วก็หัว ซึ่งอาจทำให้คัน ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องต้มเสียก่อน ไม่เช่นนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากรวมทั้งลิ้นพอง
อาหารที่แปรรูปมาจากบุก
ตอนนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง อีกทั้งในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งคือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าผู้ใดกันเคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจเคยเจอบ้าง นอกจากเส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆยุคเก่า คือ เจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (ผู้ครอบครองบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยครับผม)
สรรพคุณของบุก
จากการศึกษาพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ประเภทเป็นดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่มีสาระต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายเสื่อมสภาพได้ยาก ซึมซับได้ช้า จึงให้พลังงานแล้วก็สารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินการดี คนที่อยากลดหุ่นนิยมทานอาหารจากแป้งบุก ยกตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เพราะเหตุว่ารับประทานอิ่มได้ ระบายท้อง แม้กระนั้นไม่ทำให้อ้วน
นอกเหนือจากนั้นเองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากว่าความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูวัวลส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูวัวแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดิบได้ดีมาก ปัจจุบันก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละขอรับเป็นผลดีจากบุก ลองหามาทานกันครับ มีสาระขนาดนี้ สมัยปัจจุบันนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว ชี้แนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับ รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุรไพรบุก

6

น้ำมันเหลือง
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมันเหลือง
น้ำมันเหลิองหมายถึงการกระตุ้นเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อช่วยเหลือสุขภาพแล้วก็ฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งปวง. น้ำมันนวดถูกออกแบบมาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นในระหว่างนวด แล้วก็ในขณะเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้รู้สึกดีและผ่อนคลายสูงที่สุดสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ. อ่านถัดไปเพื่อหารายละเอียดต่างๆนอกเหนือจากนี้เกี่ยวกับประโยชน์ซึ่งมาจากการนวดน้ำมันรวมทั้งบรรเทาร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดมีชีวิตชีวา.
เมื่อมาถึงการนวดน้ำมัน, มีหลายร้อยปิดตัวเลือกที่ไม่เหมือนกันให้เลือก. คุณได้อย่างอิสระสามารถเลือกจากมากไม่น้อยเลยทีเดียวน้ำหอมแล้วก็สีที่แตกต่างเพื่อบริการ. น้ำมันนวดเยียวยา, น้ำมันร้อน, น้ำมันเหลืองกระตุ้นความรู้สึก, น้ำมันหอม
น้ำมันเหลืองจะสามารถพบได้ในตลาดท้องน้ำมันนวดเพื่อคุณสามารถเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับความต้องการและความมุ่งมาดปรารถนาของคุณ.
สัมผัสของมนุษย์สามารถมีการรักษาและพลังความมีชีวิตชีวาสำหรับผิวและก็นวดน้ำมันออกจากผิวนุ่มแล้วหลังจากนั้นก็เรียบ. นอกจากความรู้สึกสบาย thei พวกเขาถ่ายทอด, น้ำมันนวดนอกจากที่กล่าวมานี้ยังมีทางที่น่าประหลาดที่ช่วยทำนุบำรุงผิวของคุณและกำจัดจุดแห้งบนผิวของคุณ. อย่างไรก็ตาม, ข้างหลังการนวด, จะชี้แนะให้ใช้เวลาอาบน้ำที่บรรเทาเพื่อล้างน้ำมันออกมาจากร่างกายของคุณ. น้ำ จะยังช่วยผิวรูขุมขนจะเปิดก็เลยช่วยเหลือการดูดซึมของน้ำมันนวดไปสู่ผิวของคุณ. ลองดูกันผลดีต่อสถาพทางร่างกายที่สำคัญของการนวดน้ำมันบรรเทา.
ลักษณะของการปวดหายได้ยังไง เมื่อใช้น้ำมันนวด
ซึ่ง การใช้น้ำมันตัวนี้นะคะ พวกเราเพียงแค่ทาลงไปในส่วนที่พวกเราปวดนะคะ หรือมีการอักเสบของกล้าม เท่านี้จ้ะตัวยาจะซึมเข้าไปทำให้ลักษณะของการปวดเหน็ดเหนื่อยลดน้อยลง อีกอย่างที่สำคัญนะคะ
นํ้ามันเหลือง ตัวนี้เหมาะสำหรับคนไหนกันบ้าง?

  • น้ำมันเหลืองผู้ที่บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจากการทำงานหนัก
  • ผู้ที่ปวดมือและคอจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ
  • ปวดหลังจาก Office syndrome
  • คนที่ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • คนที่ปวดหัวเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • คนที่ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท จวบจนกระทั่งปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ


นวด[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันเหลือง[/url][/url][/color]ที่เยี่ยมของคุณผ่อนคลายร่างกายและส่งเสริมการนอนที่ดีมากกว่าสำหรับวัน.
ผู้คนจำนวนมากทุกข์ทรมานสาหัสจากความแตกต่างจากปกติของการนอนต่างๆได้มองเห็นการปรับปรุงแก้ไขในนิสัยการนอนของพวกเขาข้างหลังการรักษาด้วยการนวดน้ำมันเหลืองบรรเทา. น้ำมันนวดกระตุ้นจิตใจแล้วก็จิตวิญญาณ การบำบัด, น้ำมันเหลืองด้วยเหตุผลดังกล่าวคนส่วนมากมีประสบการณ์การนอนหลับลึกและพักผ่อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ.

Tags : น้ำมันเหลือง

7

น้ำมันเหลือง
ยาแผนโบราณจากพืชสมุนไพรน้ำมันเหลืองคุณภาพยอดเยี่ยม ทำจากพืชสมุนไพรจำพวกต่างๆกัน สรรพคุณที่ใช้ดม ทา นวด เพื่อบรรเทาอาการต่างๆคุณประโยชน์นี้ไม่เป็นรองยาแผนปัจจุบันอย่างยิ่งจริงๆ

  • ใช้ได้กับอาการอย่างไงบ้าง ?


▪ทุเลาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัด แก้วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
▪แก้กลยุทธ์ปวดเมื่อย ฟกช้ำ ทาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปวดบวม
▪ทาท้องเพื่อขับลมด้านในท้อง
▪ทาแก้ผื่นผื่น ตุ่มคัน
▪ทาก่อนนอนทำให้หลับง่ายมากยิ่งขึ้น จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ทาถูนวดอุ้งเท้า ไล่เลือดลม
▪ใช้ทาแก้ เหน็บชา ตะคริว ปวดสันหลังปวดบั้นเอว ปวดเข่า บวมช้ำ ปวดกล้ามเนื้อ สูดดมแก้อ้วก ตาลาย โรคหอบหืด แล้วก็ไซนัส

  • มีสเตอรอยด์ไหม ?


ไม่มีสเตอรอยด์ ไม่มีสารเคมี ทำจากสมุนไพรไทย 100% ก็เลยสามารถใช้ทาได้ทุกเพศทุกวัย ทาบีบนวดเบาๆได้ตลอดเมื่อมีอาการ ใช้แล้วไม่เกิดการสะสม ลูกค้าก็เลยถูกใจมากมาย
ลักษณะของน้ำมันเหลืองสมุนไพร
น้ำมันเหลืองสมุนไพร ตกทอด ค่าตำรับไทย ไม่มีส่่วนผสมสารเคมี น้ำหอม เป็นน้ำมันซึ่งสกัดจาก สมุนไพรแล้วก็ว่านต่างๆหลายชนิด ใช้ดมกลิ่นอาการหวัดคัดจมูก วิงเวียนศรีษะ หน้ามืด เหมือนจะเป็นลม ทาเช็ดนวด ปวด บวมช้ำ เหน็บชา ปวดตามเส้นตามข้อ เส้นเอ็น เส้นเอ็น มือเท้าตาย กลยุทธ์ขัดยอก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเหน็ดเสียว ตามร่างกาย โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย อื่นๆอีกมากมาย น้ำมันเหลืองสมุนไพร จังหวัดตราดอกบัวสี : ทาแล้วแห้งเร็ว มีกลิ่นหอมของ สมุนไพร ข้อควรคำนึง : ควรจะเก็บไว้ในที่ร่มไม่สมควรถูกแสงอาทิตย์ ใช้ทาเช็ดนวดรวมทั้งสูด
ใช้งานได้ดิบได้ดีทั้งยังทางผิวหนังและทางกล้าม เป็นน้ำมันเหลืองสมุนไพรสำหรับอาการวิงเวียนหัวเป็นลมเป็นแล้งรวมทั้งอาการคัดจมูกทาเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้า คลายเคียด กลยุทธ์ขัดยอกอักเสบบวมแมลงกัดผื่นคัน แล้วก็ เมารถเมาเรือ สามารถทำให้ร่างกายปรับสมดุลได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนประกอบของน้ำมันเหลืองสมุนไพร

  • เมนทอล 1000 กรัม 2. พิมเสน 400 กรัม 3. การบูร 300 กรัม 4. น้ำมันเข้มข้นสกัดจากสมุนไพร 200 กรัม 5. เอสเซ็นเชียล ออยล์ 50 กรัม 6. กลิ่นที่อยากได้
ลักษณะของน้ำมันเหลืองสมุนไพร
ใช้น้ำมันหลืองสมุนไพร 3 หยดและเช็ดบริเวณรอบๆท้องและรอบสะดือ เพื่อทุเลาลักษณะของการปวดท้องหรืออาการท้องอืด ใช้น้ำมันเหลืองสำหรับอาการคัดจมูกโดยการทาที่รอบๆทรวงอกแล้วก็ข้างหลัง2-3หยด ทาบริเวณที่ถูกแมลสัตว์กัดต่อย เบาๆหรืออาการปวดเมื่อยและก็อาการอักเสบก ของกล้ามเนื้อ แล้วนวดเบาๆเพื่อให้น้ำมันเหลืองสมุนไพรซึมไปสู่ผิวได้ง่าย 2-3 ครั้งก็จะกระปรี้กระเปร่าขึ้น เก็บน้ำมันในอุณหภูมิปกติรวมทั้งคุ้มครองมันจากความร้อน.
น้ำมันเหลืองสมุนไพรผลิตจากสูตรเริ่มแรกจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีส่วนผสมของน้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรเข้มข้นจากเมืองไทยหลายชนิดอย่างเช่น ไพลเหลือง, ขมิ้นอ้อย,ขมิ้นชัน,ดีปลี,ว่านน้ำ,รวมทั้งสมุนไพรฯลฯ ที่มีคุณลักษณะสำหรับในการบรรเทาลักษณะของการปวดกล้ามและก็ร่างกายได้ ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
การนวดน้ำมันเหลืองเป็นวิธีในการดูแลภาวะผิวและก็สุขภาพที่ขอแนะนำเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรรวมทั้งพืชต่างๆที่อุดมไปด้วยผลดีที่ดีต่อสุขภาพ โดนการนำสารสกัดกลิ่นและเนื้อน้ำมันพวกนั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอม รวมถึงสัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความเคร่งเครียด ทำให้พวกเราผ่อนคลาย รวมไปถึงช่วยในเรื่องของความชื้นและผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้เราจะพาไปดูคุณประโยช์จากการนวดน้ำมันว่าเป็นประโยชน์ในด้านใดบ้าง
ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเผยว่า ผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น บรรเทาลักษณะของการเจ็บปวด รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เปิดเผยว่า คนป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ จะทรมานจากอาการเจ็บปวดลดลง คลื่นไส้น้อยครั้ง หรือเปล่าคลื่นไส้เลย รู้สึกแจ่มใสขึ้น ความดันดียิ่งกว่าเดิม รวมทั้งเครียดจากลักษณะการป่วยน้อยลง หลังจากได้รับการบำบัดด้วยแนวทางนวด
หมอพื้นเมืองหรือการแพทย์แผนไทย สารภาพในคุณประโยชน์อันดีเลิศของยาแผนโบราณตามตำรายาสมุนไพร ตำรับดั้งเดิมวัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุๆพนใสมังคลาราม ซึ่งเป็นยาสมุนไพรแผนโบราณขนานเอกที่โด่งดังเลื่องลือแล้วก็ได้รับความไว้ใจสำหรับในการรักษาโรคมานานมากแล้ว สมกับคำที่กล่าวไว้ว่า "นวดแผนโบราณ ยาแผนโบราณ ตำราเรียนยาสมุนไพร ต้องวัดโพธิ์ ความคิดของชาวไทยตลอดทั้งชาติของบรรพบุรุษไทย"
บริการนวดน้ำมันนวดแล้วก็โดยมากสร้างความแข็งแกร่ง ระบบภูมิคุ้มกันรวมทั้งช่วยสำหรับการย่อยของกินดีขึ้น.
ศิลป์ที่งามของการนวดได้ทวีความรุนแรงมากเพิ่มขึ้นน้ำมันเหลืองมันบางมากมาย. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณสมบัติรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อบริการด้านต่างๆในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ยอดเยี่ยมสำหรับสิ่งที่มีความต้องการส่วนบุคคลของคุณแล้วก็บรรเทาร่างกายของคุณด้วยการนวดบรรเทารวมทั้งฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลทางด้านจิตวิญญาณของคุณแล้วก็สุขภาพที่ดีที่สุดของร่างกายของคุณ.

8

น้ำมันเหลือง
เราเสนอแนะกล้วยๆเพียงแค่ 2 ขั้นตอนเป็น"กด" + "ทา" โดยจะนวดไหมนวดก็ได้ ทาบริเวณที่มีลักษณะ
ตอนนี้น้ำมันเหลืองได้รับความนิยมใช้เป็นอันมากเยอะแยะ เนื่องจากน้ำมันเหลืองสรรพคุณไม่แพ้ยาแผนปัจจุบันอย่างยิ่งจริงๆ ลูกค้าจำนวนมากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติจริงๆเพราะว่านอกเหนือจากจะรู้สึกไม่เป็นอันตรายแล้ว ใช้นานหรือหลายคราวขนาดไหนก็ไม่เกิดการสะสม
ผู้ใดกันที่ชอบใช้ น้ำมันเหลือง เป็นประจำห้ามพลาด ด้วยความที่วันนี้เรานำน้ำมันเหลืองสูตรใหม่ กลิ่นไม่ฉุนจัด ซึ่งทั่วไปนั้นมีการทำกันเปลี่ยนแปลงสูตรเยอะแยะ แล้วแต่ว่าคนใดประทับใจสูตรไหน เป็นน้ำมันเหลืองที่ทำจากธรรมชาติล้วนๆใช้สมุนไพรดีๆของไทยทั้งนั้นมักใช้แก้ปวด แก้มึนหัว แก้ตะคริว รักษาโรคหอบหืด ไซนัส บางสูตรแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย ไปดูสูตรการทำกันเลย
เครื่องมือ เครื่องไม้เครื่องมือ
1.เมนทอล 300 กรัม
2.พิมเสน 100 กรัม
3.การบูร 100 กรัม
4.หัวไพลแก่จัด 200 กรัม
5.น้ำมันงาบริสูทธิ์ 50 กรัม
6.กระทะสำหรับทอดหัวไพล
7.ภาชนะสำหรับผสมสาร ดังเช่น ขวดใส่กาแฟ ขวดแก้ว
วิธีทำ
1.ล้างหัวไพลให้สะอาดตากให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆตากแห้ง
2.ทอดหัวไพลในน้ำมันงาโดยใช้ไฟอ่อนๆทอดไปจนถึงน้ำมันเป็นสีเหลือง เสร็จแล้วใส่สมุนไพรตัวทอดแม้กระทั่งหมดฟองยกลงจากเตากรองเอากากทิ้ง
3.นำองค์ประกอบทั้ง 3 พวก ในอัตราส่วนที่ระบุ คือ (เมนทอล 3 ส่วน พิมเสน 1 ส่วน พิมเสน 1 การบูร 1 ส่วน )เทผสมรวมกันในภาชนะสำหรับผสมสาร
4.ใช้ไม้พายเล็กคนให้ส่วนผสมทั้งผองละลายเป็นของเหลว (หากว่าไม่ใช่ไม้คนอาจใช้ขั้นตอนเขย่าขวดให้ส่วนประกอบละลายก็ได้
5.เติมน้ำมันที่สกัดจากหัวไพลลงไป คนให้เข้ามาเป็นเนื้อเดียว
6.น้ำมันเหลืองที่ได้บรรจุขวดปิดฝาให้แน่น
น้ำมันเหลือง ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเปิดเผยว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนหลับล้ำหน้าขึ้น ทุเลาลักษณะการเจ็บปวด รวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคาะห์ของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เผยว่า คนไข้โรคมะเร็งระยะแพร่ระบาด จะทรมาทรกรรมจากลักษณะการเจ็บปวดต่ำลง อาเจียนน้อยครั้ง หรือเปล่าคลื่นไส้เลย รู้สึกชื่นบานขึ้น ความดันดีมากยิ่งกว่าเดิม แล้วหลังจากนั้นก็เครียดจากลักษณะของการป่วยลดน้อยลง หลังจากได้รับการบำบัดด้วยแนวทางนวด
การเลือกน้ำมันเหลือง
การเลือกน้ำมันนวดขึ้นกับการใช้แรงงาน และก็คุณประโยชน์ต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละพวก โดยส่วนมากน้ำมันโครงสร้างรองรับที่นิยมเอามาผสมทำน้ำมันนวด ดังเช่น น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำมันถั่วเหลือง แล้วหลังจากนั้นก็น้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติภารกิจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ รวมถึงทำลายของเสียที่ทำร้ายเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต ปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง นอกนั้นน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จะต้องต่อสภาพทางด้านร่างกาย ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มกระชุ่มกระชวย
โดยดังนี้น้ำมันเหลืองแต่ละจำพวกจะมีคุณลักษณะ แล้วก็คุณค่าที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะตามการใช้

Tags : น้ำมันเหลือง

9

ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าภคินี (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
ตระกูล  Menispermaceae
ถิ่นเกิด ย่านางมีถิ่นกำเนิดในตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น ในประเทศ เมียนมาร์ , ไทย , ลาว , เขมร  เรื่องจริงแล้วพืชตระกูลย่านางนี้มีราว 70  เครือญาติ แม้กระนั้นจำนวนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนรวมทั้งในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียรวมทั้งอเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของพวกเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ รวมทั้งป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แม้กระนั้นในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภครวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีแก่นไม้ เลื้อยพันตามต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนกระจาย หรือหมดจด ใบเดี่ยว ดก สีเขียวเข้มเป็นมัน เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวราว 6-12 เซนติเมตร กว้างราวๆ 4-6 ซม. ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งหนึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และก็มีเส้นกิ้งก้านใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนเกลี้ยง ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกแขนงตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวราวๆ 0.5 เซนติเมตร แยกเป็นช่อดอกเพศผู้รวมทั้งช่อดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและก็เรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ค่อนข้างหมดจด กลีบดอกมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร สะอาด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนกระจาย กลีบดอกไม้มี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ติดอยู่บนก้านชูสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลเป็นผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มม. ผิวเนียน มีเม็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วก็แดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไม่เป็นระเบียบ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่เจริญรุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกชนิด ถูกใจดินร่วนซุยผสมทรายจะรุ่งโรจน์ได้ดี การปลูกเอาไว้ภายในฤดูฝน จะเจริญเติบโตได้ดีมากว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกภายในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งได้ดี
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยมในตอนนี้เป็นการเพาะเมล็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แต่ต้องใช้เม็ดที่แก่สุดกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระมัดระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากว่าจะทำให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลและรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เนื่องจากว่าย่านางจะเติบโตเจริญ ในดินมีความชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้แม้จะมีวัชพืชขึ้นหนา เนื่องด้วยต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับประเด็นการให้ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าหากดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง เราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แม้กระนั้นหากต้องการให้ใบเขียวเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจจำต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือราว 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับปริมาณลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราว 1×1 เมตร และก็เมื่อต้นเริ่มเลื้อยทอดยอด ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลิตผลย่านาง  จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาราวๆ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกภายในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มที่มีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ และก็จะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนมากจะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เป็นต้นว่า ไม่เนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) แล้วก็สารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ ดังเช่น สารโมโนอีพอกซีบีตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) รวมทั้งอนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ได้แก่ ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และก็ D-isochondendrine เจอได้ในราก และก็ใบย่านาง  รวมทั้งการเรียนรู้องค์ประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต่อต้านไข้มาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography  แล้วก็การตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ชนิดหมายถึงtiliacorinine (I) และ tiliacorine (II) ปริมาณ  0.0082% แล้วก็ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาซิน 1.4 มก.
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งผอง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคค้างไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               กลูโคส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
ผลดี/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่ต้องต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกเยอะมาก ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณออกจะสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกจำนวนไม่น้อยต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะว่านิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เป็นต้นว่า แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ผลดีย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้รับประทานแกล้มแนมกับของกินเผ็ด คนไทยอีสานรวมทั้งชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำกับข้าวต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น อย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ รวมทั้งเพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็อนุภาคบีตาแคโรทีนให้กับอาหารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ยิ่งกว่านั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะเทอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมและหมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (ซึ่งก็คือใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงกะทิ และหั่นซอยรับประทานอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นบ้าน ได้แก่ แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านาง คือ  ตำราเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกวิเชียร (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือโดยประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำกินก่อนกินอาหารยามเช้า ช่วงกลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระแทกพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง นำมาต้มกินเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับเมนส์ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากหมาน้อย ต้มกินแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ถอนพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ไข้ทรพิษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบ รสจืดขม รับประทานทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศีรษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึกฝน ลิ้นกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ไข้ทรพิษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกหนังสือเรียนหนึ่งบอกว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย บรรเทาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส โรคฝีดาษ ทำลายพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ถอนพิษ แล้วก็ลดพิษจากพืช สัตว์ รวมทั้งสารเคมีภายในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำ ทุเลาลักษณะของการมีไข้ชนิดต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด และก็ลดสารพิษยากำจัดแมลงภายในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือเอามาต้มน้ำดื่ม รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลกิน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ดังเช่นว่า ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการเจ็บป่วย ตัวร้อน บรรเทาไข้รากสาด ไข้ฝีดาษลดพิษสารกำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย แล้วก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เจาะจงการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางการแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดระดับความดันโลหิต ต้านทานเชื้อจุลชีวัน ต่อต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับในการต้านอนุมูลอิสระ  และยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonellaspp. แล้วก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวที-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต่อต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli แล้วก็ Salmonella spp. ต่อต้านไข้ รวมทั้งต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังได้แก่ โรคหัวใจและก็เส้นเลือด โรคกระดูกแล้วก็ข้อเบาหวาน โรคระบบฟุตบาทหายใจ
แบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (เจ็บท้องด้วยเหตุว่ารับประทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ว่าไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงสิ่งเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในอาหาร ยกตัวอย่างเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและก็ใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 จับมือ เพิ่มน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลบางส่วนพอดื่มง่ายให้หมดอีกทั้งแก้ว ทำให้คลื่นไส้ออกมา จะช่วยทำให้ดียิ่งขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไข้จับสั่น        เล่าเรียนฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด เป็นส่วนที่ละลายน้ำ รวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อมาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ เจอสาร alkaloid ที่ต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline เช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, แล้วก็สาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะเจาะจงองค์ประกอบได้หมายถึงG และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อไข้จับสั่นเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี แล้วก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL และก็ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine เป็นลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และก็ 675 mg/mL ตามลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ประเภท ดังเช่นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง และอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวกหมายถึง13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้นำมาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลของการทดสอบพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC เท่ากับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยั้ง  MDR-MTB ได้เป็นจำนวนมากที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง     การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ และในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กรุ๊ป alkaloid ที่เจอในย่านาง  ในการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญก้าวหน้าของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี และก็สาร tiliacorinine  ผลของการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญในการยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดสอบ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นแนวทางการ apoptosis ซึ่งเป็นกระบวนการในการกำจัดเซลล์ผิดปกติ และเซลล์ของโรคมะเร็งในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้านไทย ปริมาณ 6 ประเภท ดังเช่น ผักกูด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้ง 6 ประเภทเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
งานค้นคว้าอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์หยุดปวดแล้วก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักพื้นเมืองอีสาน 10 ประเภท การตรวจหาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้ writhing test และ tail flick test ในการตรวจฤทธิ์ต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดลองใช้สารสกัดผักพื้นเมืองด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู รวมทั้งผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางมีฤทธิ์ยับยั้งปวด แล้วต่อจากนั้นคัดเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์เยอะที่สุด 4 ประเภท เช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง รวมทั้งผักกาดฮีนมาทำทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดอีกทั้ง 4 ประเภทไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้วิจัยมั่นใจว่าสารสกัดจากใบตำลึงและก็ใบย่านางบางทีอาจจะออกฤทธิ์ระงับปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานศึกษาค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องแลปขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นหลักการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่เคยทราบว่าจะส่งผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือไม่ การค้นพบนี้อาจเกี่ยวพันกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแม้กระนั้นโบราณได้ ถ้าแต่ควรมีการศึกษาเพิ่มต่อไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจดูฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่ว่าเป็นพิษต่อสัตว์ทดสอบ การค้นคว้าทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองชนิดเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) แล้วก็อัลค้างลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อตรวจสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดขึ้นจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้อาจอยู่ในพวก aporphine alkaloids
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษทันควัน แล้วก็ครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เรียนรู้พิษกระทันหันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศเมีย ประเภทละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น แล้วก็  ไม่มีการแสดงความประพฤติที่ไม่ดีเหมือนปกติ รวมทั้งไม่มีการตาย หรือความเคลื่อนไหวของเยื่อข้างใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กก. (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่ตัวทดลอง เพศผู้ และเพศเมีย ประเภทละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ปกติทางด้านความประพฤติ แล้วก็สุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กลุ่มควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 แล้วก็ 118 โดยตรวจร่างกาย แล้วก็มีกลุ่มที่ติดตามผลถัดไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าวิชาชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการศึกษาเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่นำมาซึ่งพิษกระทันหัน และพิษกึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งในหนูเพศผู้ และก็เพศภรรยา
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรดื่มทันที เพราะหากทิ้งเอาไว้นานเกินไปจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แม้กระนั้นสามารถเอามาแช่ตู้แช่เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • สำหรับในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนที่จะกินอาหารหรือตอนท้องว่างราวครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางคนที่มีความรู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วเอามาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรจำพวกอื่นๆก็ได้ ได้แก่ ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้แต่น้ำหวานก็ได้เช่นกัน
  • ควรดื่มปริมาณแม้กระนั้นพอดี ถ้าเกิดดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรจะลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน
  • Janeklang S, Nak

10

ยอ
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อแคว้น  ยอบ้าน (ภาคกึ่งกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
วงศ์  Rubiaceae
ถิ่นกำเนิด   ลูกยอ Morinda citrifolia คือผลไม้เขตร้อนพบได้ทั่วไปบันทึกว่ามีการรับประทานลูกยอเป็นของกินมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นบ้านในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) รวมทั้งได้แพร่ไปไปยังประเทศอื่นๆโดยมีตำนานว่า คนภายในสมัยโบราณ (ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูและได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นอาหารขึ้นรากฐานที่สร้างเสริมส่วนต่างๆของร่างกายและก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนรุ่นก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึกแล้วก็จดจำถัดมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของยอนั้นมีต้นเหตุจากถูกนำติดตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และก็มันสามารถเจริญเติบโตเจริญในดินภูเขาไฟที่ไม่มีมลภาวะ และก็มีการแพรกระจัดกระจายประเภทไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกแบบเรียนหนึ่งกล่าวว่าเป็นไม้ประจำถิ่นในเอเซียอาคเนย์ แต่ว่ามีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย รวมทั้งตามหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วก็หมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ทั้งในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มกำลังเมื่ออายุครบ 18 เดือน แล้วก็จะออกดอกออกผล
ซึ่งในขณะนี้พืชจำพวกนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในทวีปเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของห้วงมหาสมุทรแปซิฟิคเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองคำกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตสุดกำลัง 5-10 เซนติเมตร สังกัดอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางชิดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากนิดหน่อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้มองดูไม่เป็นทรงพุ่มไม้
ใบ ใบเป็นใบโดดเดี่ยว (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีรูปทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวโดยประมาณ 15-30 เซนติเมตร ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราวๆ 1 เซนติเมตร โคนใบ และก็ปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ แล้วก็ผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน ข้างบนใบพบได้มากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว รูปทรงราวกับหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และโคนกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกัน กลีบดอกไม้มีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวราวๆ 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ข้างในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวโดยประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวราวๆ 3 มิลลิเมตร
ผล  ผลเป็นประเภทผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมชิดกันสำเร็จใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาว 3-10 เซนติเมตร ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุกจะมีสีเหลือง และกลายเป็นสีขาวกระทั่งเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีเยอะๆ เมล็ดมีลักษณะแบน ข้างในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด เจอได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ ฮาวาย ตาฮิติ ฯลฯ
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่ส่งผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย ดังเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งสีเขียว แล้วก็สีขาว พบทั่วๆไปบริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แต่ว่าสามารถขายประเภทด้วยวิธีอื่นได้เช่นเดียวกัน ดังเช่น การปักชำ การทำหมัน แม้กระนั้นการเพาะเม็ดจะได้ผลที่ดียิ่งกว่าแล้วก็อัตราการรอคอยดจะสูงยิ่งกว่าวิธีอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้แนวทางการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้จะต้องเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้จะต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  รวมทั้งเอามาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงโดยประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย และยังเป็นพืชที่คงทนต่อสภาพดินเค็มแล้วก็สภาวะแห้งอีกด้วย ก็เลยทำให้มีการแพร่ระบาดจำพวกอย่างเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ทั้งในส่วนของ  ผล ใบ รวมทั้งราก มีหลายอย่าง ได้แก่ scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกลุ่ม anthraquinones เช่น anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมถึง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    นอกจากนี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene แล้วก็  linoleic acid ซึ่งสารกลุ่มนี้สารชนิดได้มีการทดลองคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์ได้ นอกนั้นยังเจอสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside รวมทั้ง iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่มีผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
ประโยชน์/คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากยอนั้นมีทั้งในด้านการนำไป บริโภคเป็นอาหารและก็การนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านค้าของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีมากมายหลายต้นแบบดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ทั้งยังดิบๆหรือแต่ง อาทิเช่น บางหมู่เกาะในห้วงมหาสมุทรแปซิฟิก รับประทานผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็ชนท้องที่ประเทศออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหยี แล้วก็ใช้เม็ดของยอคั่วกินได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำตำส้ม ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก แล้วก็ในปัจจุบันมีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านค่าของของกินที่มี วิตามินซี วิตามินเอ แล้วก็ธาตุโปแตสเซียมสูง นอกเหนือจากนี้จะมีลักษณะเสมือนผักผลไม้จำนวนไม่น้อยด้วยเหตุว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ แล้วก็ต้านโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกระบุว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังนี้  ตำรายาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ย เหงือกบวม ขับระดูเสีย ขับเลือดลม ฟอกเลือด ขับน้ำคาวปลา แก้เสียงแหบแห้ง แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กระษัย แก้คลื่นไส้  โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือนำมาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน หนังสือเรียนสรรพคุณยาไทยบอกว่าผลอ่อนรับประทานเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เม็ดเป็นยาระบาย
           แบบเรียนยาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งบอกว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
                ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมฝาด สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด ระดูของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาขยันน มีกลิ่นแรง สรรพคุณผายลมในไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนผสมของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
แก้อาเจียนที่เกิดขึ้นมาจากธาตุไม่ปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆปิ้ง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ครั้งละ  2  กำมือ  น้ำหนักประมาณ  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำกินจิบแม้กระนั้นน้ำเสมอๆช่วงเวลาที่มีอาการ  ถ้าเกิดดื่มทีละมากๆจะมีผลให้คลื่นไส้
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลกิน ช่วยแก้กษัย  แก้เมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคในระบบหัวใจ และเส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค เบาหวาน คุ้มครองโรคหัวใจ และเส้นเลือด ต้านโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร รวมทั้งไส้ ช่วยขับระดู แก้เมนส์มาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ
รากเอามาต้มหรือดองสุรารับประทานเป็นยาระบาย แก้กระษัย ช่วยเจริญอาหาร ปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ รวมทั้งหลอดเลือด
ไอระเหยซึ่งระเหยออกมาจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลเป็นสะเก็ดรอบปากหรือข้างในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู อย่างแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือครึ้มจนกระทั่งเกินไป และจากนั้นจึงนำไปปิ้งไฟอ่อนๆโดยปิ้งให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่พวกเราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนถึงเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองแบบลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งไว้ครู่หนึ่งแล้วยกลงจากเตา คอยจนถึงอุ่นแล้วนำมากิน ส่วนที่เหลือให้กรองมัวแต่น้ำแช่ไว้ในตู้แช่เย็นแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นกิน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกและก็แช่ลงไปในน้ำต้มสุก แล้วรินมัวแต่น้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอาเจียน   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตสุดกำลังแล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆแล้วต่อจากนั้นนำมาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟกรุ่นๆให้แห้งไหม้เกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วใช้ผงมาประมาณ 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้สำหรับใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาราว 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอ้วก คลื่นไส้
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อาเจียน อ้วก การเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอสำหรับการยับยั้งอาเจียน โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก รวมทั้งน้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้ไข้จับสั่น 92 ราย ที่มีอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มิลลิลิตร กินทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 กินน้ำชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง แล้วก็กรุ๊ปที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีลักษณะอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนและข้างหลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนให้ยาทั้ง 3 กลุ่ม มีค่าไม่ต่างกัน แต่จำนวนการคลื่นไส้กรุ๊ปที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ และชามีค่าเฉลี่ยเยอะที่สุด หมายความว่ายอลดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อศึกษากลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต่อต้าน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถเร่งการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้คลื่นไส้ด้วย  apomorphine แต่ไม่สามารถที่จะต้านทานฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับการลดการบีบตัวของกระเพาะได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีแถลงการณ์ว่าสาร acubin L-asperuloside รวมทั้ง alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถปกป้องการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ อย่างเช่น Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella รวมทั้ง Shigella
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการตำหนิดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ดังเช่น Rifampcin
ฤทธิ์หยุดความเจ็บปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดสอบ และก็ผลจากการวิจัย โดย ผศ.ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง

การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 เท่ากับ 0.75 กรัม/กิโลกรัม สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดสอบพิษครึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่เจอความผิดแปลกอะไรก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด และก็ค่าตรวจทางเลือดวิทยา ยิ่งไปกว่านี้การทดลองความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษแบบกระทันหันแล้วก็แบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มิลลิกรัม/มล.ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มและก็น้ำจากรากทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่าส่งผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์ เวลาที่สารสกัดเฮกเซนรวมทั้งเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง

  • สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ อยากได้น้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) และภาวะความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อกลายเป็นซีโรนิน ดังนั้น แม้กินน้ำลูกยอระหว่างที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินลดลง
  • คุณประโยชน์ แล้วก็คุณประโยชน์น้ำลูกยอจะต่ำลงเมื่อกินร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรที่จะกระทำให้เม็ดยอแตก เนื่องจากสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจทำให้ถ่ายหลายครั้งได้
  • ผู้เจ็บป่วยโรคไตไม่สมควรดื่มน้ำลูกยอ เนื่องจากว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายทันควันได้
  • สตรีตั้งท้องไม่สมควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับโลหิต อาจจะก่อให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.



Tags :

11

เห็ดหลินจือ
เข้าใจมะเร็งโรคมะเร็งเป็นยังไงมีเหตุปัจจัย กลไกลการเกิดลักษณะของการเกิดอาการมะเร็ง มะเร็งที่เจอย่อยไม่ว่าจะเป็น ปากมดลูกมะเร็งตับ ปอด แล้วจะปกป้องได้ไหม รักษาเช่นไร
สมุนไพร-เห็ดหลินจือ[/b] โรคมะเร็ง ( Cancer1 ) พบได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ตอนแรกเกิดไปจนกระทั่งผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่จะเจอในอายุตั้งแต่ 50 ขึ้นไปส่วนในเด็กเจอน้อยกว่าคนแก่โดยประมาณ 10 เท่า ปัจจุบันนี้ว่าหลายคนจะเริ่มหันมาใสจิตใจในสุขภาพทางร่างกายเห็ดหลินจือของตนเองกันมากเพิ่มขึ้น แต่บรรดาเชื้อโรคต่างๆก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งเช่นเดียวกัน โดยยิ่งไปกว่านั้นโรคมะเร็งที่เรียกว่าเป็นโรคยอดฮิตที่ผู้คนเป็นกันเยอะมากๆยิ่งกว่าโรคติดต่อ
โรคมะเร็งคือ โรคของเซลล์ ที่มีการเติบโตอย่างผิดปกติแปลงเป็นก้อนโรคมะเร็งที่สามารถบุกรุง ทำลายเยื่อใกล้เคียงและกระจัดกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้โรคซึ่ง (เห็ดหลินจือ)โรคซึ่งกำเนิดมีเซลล์กำเนิดมีเซลล์ผิดปกติในร่างกาย รวมทั้งเซลล์เหล่านี้มีการเจริญวัยรวดเร็วเกินธรรมดา ร่างกายควบคุมไม่ได้ โดยเหตุนั้นเซลล์เหล่านี้จึงรุ่งโรจน์แผ่ขยายแล้วก็แพร่กระจายได้ทั่วร้างกายทำให้เซลล์ธรรมดาของสมอง ไต กระดูก และก็ไขกระดูก
ต้นเหตุและก็สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
เห็ดหลินจือ-สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยเป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้นมีต้นเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายใน คือ
1.ปัจจัยภายนอก
-คนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  มักเกิดในผู้ที่ไม่นิยมที่ไม่นิยมกินร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางทะเลลายสำหรับการรับประทานอาหารร่วมกัน
-การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในเรื่องที่ชอบทานอาหารแบบดิบๆหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
-ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดือแอลกอฮอล์เป็นความรู้สึกนึกคิด และคนที่สูบบุรีเสมอๆ
-คนที่เคยผ่านการฉายรักสีเอกซเรย์
สารอะฟลาทอกซินที่แปดเปื้อนอยู่ในของกินแล้วก็เครื่องดื่มที่พวกเรารับประทานกันทุกวี่วัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว
-สารก่อมะเร็งในของกินจำพวกปิ้ง ปิ้ง ทอด โดยเฉพาะพื้นที่ปิ้งหรือปิ้งจนกระทั่งไหม้เกรียม หรือพื้นที่ทอดโดยใช้น้ำมันบ่อยๆแต่ละวัน
-สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาอาหารอย่างไนโตซาไม่น ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาผสมอาร
2.ปัจจัยภายใน
-เห็ดหลินจือมีสาเหตุจากความนึกคิดผิดปกติในร่างกาย เช่น เด็กไม่สมประกอบแต่กำเนิด ซึ้งเป็นความไม่ปกติทางพันธุกรรม
-ร่างกายมีภูมิต้านทานผิดพลาดหรือขาดสารอาหารบางอย่าง ดังเช่นว่า พวกวิตามินเอ หรือ ซี
ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรคมะเร็งโดยมากนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยภายใน นั้นมีความหมายว่าพวกเราสามารถปกป้องการก่อมะเร็งได้มากพอสมควร ดังนี้ ก็ขึ้นกับการกระทำและก็ระเบียบวินัยการเลือกปฎิบัติของเราเป็นหลัก และก็วิชาความรู้ในเรื่องของสารก่อโรคมะเร็งด้วย
เห็ดหลินจือ-ไม่มีอาการเฉพาะโรคมะเร็ง แม้กระนั้นเป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบเยื่อ/อวัยวะที่เป็นโรคมะเร็ง โดยที่แตกต่างเป็นมักเป็นอาการที่ห่วยแตกลงเรื่อยและเรื้อรัก ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อมีลักษณะต่างๆนานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ จำเป็นที่จะต้องรีบพบแพทย์ อย่างไร ก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเนมะเร็ง ได้
-มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรังไม่หายภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากการดูแลตัวเองในพื้นฐาน
-มีต่อมน้ำเหลืองโต ลูบคลำเ มักจะแข็งไม่เจ็บ แล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ
-ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วกว่าปกติ หรือเป็นแผลแตก
-หายใจ กรือ มีกลิ่นปากร้ายแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงแค่ด้านเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
-ไอเรื้อรัง เรือ ไอเป็นเลือด
-มีเสมหะ น้ำลาย หรือเสลดผสมเลือดบ่อยมาก
-อ้วกเป็นเลือด
-เยี่ยวเป็นเลือด
-ปัสสาวะบ่อยครั้ง ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-อุจจาระเป็นเลือด  มูก หรือเป็นมูกเลือด
-ท้องผูก สลับท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
สมุนไพร เห็ดหลินจือ-มีเลือดออกทางช่องคลอดไม่ปกติ หรือ มีระดูเปลี่ยนไปจากปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเลือดหรือข้างหลังมีเพศสัมพันธ์ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-ท้องเฟ้อ ท้องเฟ้อ แน่ อึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-มีไข้ต่ำๆหาปัจจัยไม่ได้
-เป็นไข้สูงบ่อยมาก หาสาเหตุมิได้
-จับไข้สูงหลายครั้ง หามูลเหตุมิได้
-ผอมบางลงมากใน 6 เดือน น้ำหนักลดจากเดิมเป็น 10%
-มีจ้ำช้ำเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังหลายครั้ง
-ปวดหัวรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/โคนขาแรง หรือ ชัก โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-ปวดหลังเรื้อรัง และก็ปวดมากขึ้นเรื่อยๆอาร่วมกับ แขน/โคนขาแรง

สัญญาณอันตราย 7 ประการ ที่ควรรีบมาพบหมอ
เห็ดหลินจือ-มีเลือดหรือเรื่องผิดปกติออกจากร่างกาย ได้แก่ มีตกขาวมากเหลือเกิน
-มีก้อนเลือดหรือตุ่ม เกิดขึ้นที่แห่งไหนที่หนึ่งของร่างกายรวมทั้งก้อนนั้นโตเร็วผิดปกติ
-มีแผลเรื้อรัง
-มีการอึ ปัสสาวะ ไม่ปกติหรือเปลี่ยนไปจากเดิม
-เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
-กลืนอาหารตรากตรำ เบื่อข้าว น้ำหนักลด
สมุนไพร-มีการเปลี่ยนของหูด ไฝ ปาน ตัวอย่างเช่น โตไม่ปกติ ควรรีบมาเจอแพทย์
รายชื่อโรคมะเร็งที่พบได้บ่อย
1.มะเร็งตับ
2.โรคมะเร็งปอด
3.มะเล็งเม็ดเลือดขาว
4.มะเร็งสมอง
5.โรคมะเร็งปากมดลูก
6.โรคมะเร็งไส้
7.มะเร็งกล่องเสียง
8.โรคมะเร็งผิวหนัง
9.มะเร็งรังไข่
10.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
11.โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
12.โรคมะเร็งเต้านม
13.มะเร็งกระเพาะ
14.มะเร็งกระดูก
15.มะเร็งหลอดของกิน
16.มะเล็งลิ้น
17.มะเร็งโพรงปากและก็คอ
18.โรคมะเร็งท่อน้ำดีและถุงน้ำดี
19.โรคมะเร็งหลอดลม
20.โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
21.โรคมะเร็งตับอ่อน
22.โรคมะเร็งไต
23.มะเร็งไทรอย์
24.มะเร็งโรงจมูก
สมุนไพร-เห็ดหลินจือ[/b] จะเห็นได้ว่าโรคมะเร็งนั้นเป็นโรคอันตรายซึ่งสามารถป้องกันให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้ ทั้งนี้ข้นอยู่กับความประพฤติปฏิบัติระเบียบวินัยของทุกคนเป็นหลักว่าจะสามารถยับยั้งชั่งใจในเรื่ออาหารกินได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าที่มาของโรคมะเร็งโดยมากนั้นมีเหตุมาจากการรับประทานอาหาร เราควรต้องเลือกทานอาหารที่มีเพียงแต่คุณค่ารวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการและความสะอาดโดยไม่มีการแปดเปื้อนของสารเคมีต่างๆเพื่อให้ห่างไหลมายากลจากโรคร้ายอย่างมะเร็ง

Tags : เห็ดหลินจือ,เห็ดหลินจือแดง,ขายเห็ดหลินจืออบแห้ง

12

สมุนไพร
เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่อาจเป็นไปได้จริงหรือ?
แม้มีการค้นคว้าทดลองมากมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและคุณประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่แน่ชัดถึงคุณลักษณะและคุณประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแต่ ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่แน่ชัดถึงคุณลักษณะและประสิทธิผลด้านใดๆ ดังนั้น ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลของสมุนไพร เห็ดหลินจือ ปริมาณและวิธีการบริโภคที่เหมาะสม รวมทั้งข้อจำกัดต่างๆ และปัจจัยทางสุขภาพของตนให้ดีก่อนการบริโภค
ตัวอย่างงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานค้นคว้าหนึ่งได้ทดลองเห็ดหลินจือหาประสิทธิผลและความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  ผลลัพธ์คือ เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการระงับอาการปวด สมุนไพรปลอดภัยต่อการรับประทานเข้าสู่ร่างกายและไม่มีผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญในการต้านปฎิกิริยาออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิคุ้มกันแต่อย่างใด


สมุนไพร อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองในหลอดทดลองเท่านั้น ขณะนี้คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยเชียงใหม่กำลังวิจัยผลที่มีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็วจริงๆและคาดว่าผลการศึกษานี้คงจะตีแผ่ให้เพื่อนๆได้ทราบกันในเร็วๆนี้ค่ะ แต่ตอนนี้มีรายงานการศึกษาจากประเทศจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงในผู้ป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งขั้นลุกลาม โดยไม่มีผลข้างเคียงและสามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามในประเทศไทย การใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่ช่องทางหลักในการรักษา เน้นเรื่องเสริมภูมิต้านทานมากกว่า

เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย
มีการทดลองที่ทดสอบประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถภาพของร่างกาย โดยได้ ทดลองในผู้ป่วยโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงจำนวน 64 ราย ตลอดระยะเวลาการทดลอง 6 สัปดาห์ ผู้ป่วยบริโภคเห็ดหลินจือปริมาณ 6 กรัม/วัน จากนั้นจึงทดสอบสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วย ผลการทดลองและวางแผนการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ต่อไป แต่ยังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจน จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าในด้าน เพื่อหาหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะสนับสนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในงานวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้ป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
ดังนั้นจึงควรมีการค้นคว้าทดลองถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อป้องกันและการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป รวมทั้งให้ได้ความกระจ่างชัดดเจนในด้านดังกล่าวมากยิ่งขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการรักษาป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างชัดเจน เนื่องประสิทธิผลและผลข้างคียงจากการบริโภค ดังนั้น ผู้บริโภค ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโรค เพราะแม้เห็ดหลินจือในแต่ละรูปแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่สารเคมีและส่วนประต่างอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน
โดยทั่วไป ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันได้แก่
-สมุนไพร เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่ควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 มิลลิลิตร/วัน
ความปลอดภัยในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้จะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่อาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้บริโภคก็ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรระมัดระวังในด้านปริมาณและรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ในภายหลัง
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจส่งผลดีต่อสุขภาพมากมาย จำพวกเส้นใยต่างๆ โปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ปีนอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) และสารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และลิวซีน (Leucine)ด้วยเหตุนี้ มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาประกอบอาหารและแปรรูปเพื่อการบริโภค

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

13
ขายเห็ดหลินจือ ประโยชน์เห็ดหลินจือ

14
อื่น ๆ / สมุนไพรอำพัน หมายถึงอะไร
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 02:59:11 AM »

สมุนไพรอำพัน
อำพันเป็นซันแข็งที่ได้จากซากดึกดำบรรพ์ของสนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์
อันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า  Pinus  succinifera Conw.
ในตระกูลPinaceae

มีชื่อสามัญว่า  amber
มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า electron (เพราะว่าเมื่อเอาอำพันมาถูกับไหมจะได้ไฟฟ้าสถิต) อันเป็นสาเหตุของคำว่า  electricity  ในภาษาอังกฤษ ที่หมายความว่าไฟฟ้าแพทย์แผนไทยใช้อำพันปรุงเป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับ  กระวายกระวน  เลอะเลือน ต้องกลนี  ๑  พิกุล  ๑  สาระภี  ๑  มะลิ  ๑  สัตบุศย์  ๑  สัตตบละโมบ ๑  กรุงเฉมา  ๑  อำพันทองคำ  ๑  ชะมดเชียง  ๑  พิมเสน  ๑  ยาดังนี้เอาส่วนเท่ากัน  บดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำดอกไม้ เมื่อจะรับประทานให้แชกน้ำตาลกรวดแก้พิษกลุ้มในอกในทรวงให้สวิงสวายให้หิวโหยหากำลังไม่ได้กินหายแล

15
อื่น ๆ / สัตววัตถุหมูหริ่ง
« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2017, 07:47:05 AM »

หมูหริ่ง
หมูหริ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่รับประทานพืชและเนื้อ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arctonyx collaris  F. Cuvier
จัดอยู่ในวงศ์ Mustelidae
มีชื่อสามัญ hog badger
ชีววิทยาของหมูหริ่ง
ลำตัวและก็จมูกเหมือนหมู ขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๕-๑๐๔ ซม. หางยาว ๑๒-๑๗ ซม. หูยาว ๓.๕-๔ ซม. น้ำหนักตัว ๗-๑๔ กิโลกรัม   ขนหยาบ หางสั้น คอสีขาว เล็บยาวโค้งแหลม อุ้งเท้าใหญ่ เหมาะกับการรื้อฟื้นดิน ขนตามลำตัวสีออกเหลือง เทา รวมทั้งดำ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยมีแถบสีดำดาดลงมาจากส่วนหู ผ่านตาอีกทั้ง ๒ ข้างลงมาถึงจมูก มีแถบสีขาวจากหน้าผากลงมาถึงขอบปากบน รวมทั้งมีแถบสีขาวอีกจุดหนึ่งตรงแก้ม คอรวมทั้งขนที่ขอบหูสีขาว เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นเต่าแรงมากมาย จมูกไว กระปรี้กระเปร่า เหมือนเคยถูกใจออกหากินตอนค่ำ ส่วนกลางวันซ่อนตัวตัวตามโพรงดินหรือโพรงไม้ ชอบตะกุยดินหาอาหารด้วยจมูกและเล็บเท้า   หมูหริ่งเป็นสัตว์ดุร้าย ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในฤดูหนาวถึงหน้าร้อน ตั้งครรภ์นานราว ๑๘๐ วัน ออกลูกครั้งละ ๒-๔ ตัว ทีแรกๆๆลูกๆจะอยู่ในโพรงดิน ตราบจนกระทั่งจะแข็งแรงพอก็เลยจะออกมาหาเลี้ยงชีพกับแม่  อายุยืน ๖-๗ ปี  อาหารเป็นพวกผลไม้ หน่อไม้ หนู กิ้งก่า แมลง แล้วก็ไส้เดือน ในประเทศไทยพบบ่อยทางภาคเหนือรวมทั้งภาคใต้ ในเมืองนอกพบที่อินเดีย จีน ประเทศพม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเชีย และก็อินโดนีเชีย

คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ “น้ำมันหมูหริ่ง” อันเป็นน้ำมันที่ได้จากการต้มมันเปลวหมูหริ่ง เป็นยาพื้นในการตระเตรียมยาน้ำมันหรือยาขี้ผึ้ง เป็นต้นว่าในตำรับยาขนานที่ ๖๙ สีปากบี้พระเส้น

หน้า: [1] 2 3 ... 5