รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 358 ครั้ง)

แสงจันทร์5555

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 77
    • ดูรายละเอียด


โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกเป็นยังไง “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานาประการ รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ เช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  กระทั่งในขณะนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางด้านจิตเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความผิดปกติของพัฒนาการเด็กรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะส่วนตัว  เป็นโรคที่มีเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของพัฒนาการหลายด้านเป็นกรุ๊ปอาการความเปลี่ยนไปจากปกติ 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
  • พฤติกรรมแล้วก็ความพอใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำทุกๆวันและก็การเคลื่อนไหว ซึ่งอาการพวกนี้เกิดในช่วงต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะอาการก่อนอายุ 3 ปี


คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแสดงว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง เปรียบเหมือนมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลกลุ่มนี้ออกมาจากสังคมรอบข้าง
ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนเจ็บเป็นครั้งแรก โดยหมอลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ อเมริกา รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆอาทิเช่น บอกเลียนเสียง บอกช้า สื่อสารไม่เข้าใจ ทำใหม่ๆเกลียดชังการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจบุคคลอื่น เล่นไม่เป็น แล้วก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้แตกต่างจากเด็กที่ผิดพลาดทางปัญญา ก็เลยเรียกชื่อเด็กที่มีอาการแบบนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมตรากตรำ หมกมุ่นอยู่กับกระบวนการทำอะไรซ้ำๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมาก และก็ดูเหมือนจะฉลาดมากด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มาก นักวิจัยรุ่นหลังก็เลยสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในรายละเอียดที่ต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder”
                จากการเรียนรู้ระยะแรกเจออัตราความชุกของโรคออทิสติกราวๆ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่าแถลงการณ์ในระยะหลังเจออัตราความชุกมากขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากเพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องออทิสติกที่มากขึ้นเรื่อยๆ การใช้เครื่องมือในการวินิจฉัยที่ต่างกัน รวมทั้งปริมาณคนเจ็บที่อาจมีเพิ่มมากขึ้น โรคออทิสติกเจอในผู้ชายมากยิ่งกว่าเพศหญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยและก็ในทางกลับกันอัตราส่วนผู้ชายต่อผู้หญิงลดน้อยลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
สาเหตุของโรคออทิสติก  มีความอุตสาหะในการค้นคว้าถึงที่มาของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้จักสาเหตุของความไม่ปกติที่แจ่มชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานช่วยเหลือแจ่มแจ้งว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไปจากปกติ มากยิ่งกว่าเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม
            ในอดีตกาลเคยเชื่อว่าออทิสติก มีต้นเหตุมาจากการอุปการะในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (พ่อแม่ที่ไปถึงเป้าหมายในเรื่องงาน จนถึงความเกี่ยวพันระหว่างบิดามารดากับลูกมีความเหินห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นบิดามารดาตู้เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในตอนนี้ยืนยันได้แจ่มชัดว่า รูปแบบการอุปการะไม่ใช่ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาดียิ่งขึ้นได้มาก
           แต่ในตอนนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p เป็นต้น แล้วก็จากการเล่าเรียนในแฝด พบว่าคู่แฝดราวกับ ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งคู่สูงกว่าฝาแฝดไม่เหมือนอย่างชัดเจน
                และก็การเรียนทางด้านกายวิภาครวมทั้งสารสื่อประสาทในสมองของคนป่วยออทิสติก จากทางภาพถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ พบความเปลี่ยนไปจากปกติหลายแบบในคนเจ็บออทิสติกแม้กระนั้นยังไม่พบรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ในทางกายวิภาคพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งเล็กน้อยของสมองมีขนาดแตกต่างจากปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ดีเหมือนปกติของเนื้อสมอง ได้แก่ brain stem, cerebellum, limbic system รวมทั้ง บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกเหนือจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก พบความไม่ปกติร้อยละ 10-83 เป็นความแตกต่างจากปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เจาะจง  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นมากยิ่งกว่าของคนทั่วไปเป็น เจอปริมาณร้อยละ 5-38 นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยยิ่งไปกว่านั้น  serotonin ที่ศึกษาค้นพบว่าสูงมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย แม้กระนั้นก็ยังไม่ได้ผลสรุปที่แจ่มกระจ่างถึงความเกี่ยวข้องของความผิดปกติพวกนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในตอนนี้สรุปได้ว่า สาเหตุส่วนมากของออทิสติกมีต้นเหตุจากกรรมพันธุ์แบบหลายสาเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวข้องหลายตำแหน่งและมีภูมิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ลักษณะของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กใครกันแน่เป็นหรือเปล่าเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะดูได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก    ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่อาจจะมองเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ด้านสังคมกับคนอื่นๆ  ด้านการสื่อความหมาย    มีการกระทำที่ทำอะไรบ่อยๆ    พฤติกรรมจะเริ่มแสดงเด่นชัดเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏแจ่มแจ้งในเรื่องความล่าช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา      ด้านความสัมพันธ์กับสังคมสังเกตได้จากการที่เด็กจะไม่มองตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าแล้วก็ลีลาราวกับไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับใคร  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน เช่น

  • ความบกพร่องในการมีความสัมพันธ์ทางสังคม (impairment in social interaction) ความบกพร่องสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความร้ายแรงที่ต่างๆนาๆ ถึงแม้เด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยบากบั่นที่จะอยู่ใกล้ผู้อุปการะ แม้กระนั้นสิ่งที่แตกต่างจากเด็กทั่วๆไปคือ การขาดความรู้สึกแล้วก็ความพอใจร่วมกับคนอื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่สามารถรู้เรื่องหรือรับรู้ว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไร ฯลฯ


หากแม้เด็กออทิสติกที่หรูหราเชาวน์ปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม ดังเช่นว่า ไม่เคยรู้กรรมวิธีการเริ่มหรือจบทบสนทนา พ่อแม่บางคนบางทีอาจสังเกตเห็นความไม่ดีเหมือนปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก รวมทั้งเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องด้วยสถานการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถที่จะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับสหายได้ยาก มักถูกเด็กอื่นมองว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกขบขัน

  • ความบกพร่องในการสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกโดยมากมีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ปกครองพาเด็กมาพบหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในรูปแบบของการท่องจำซ้ำๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำท้ายประโยค ใช้คำสรรพนามผิดจำต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงทำนองเพลงการพูดที่ไม่ดีเหมือนปกติ


เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการกล่าวทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราสติปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ค่อนข้างจะดี และก็สามารถใช้ประโยคสำหรับในการติดต่อได้เมื่ออายุประมาณ 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยยิ่งไปกว่านั้นการพูดคุยกันโต้ตอบ อาจพูดจาวกไปวนมา พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพอใจ และก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ

  • ความประพฤติและก็ความพึงพอใจแบบเฉพาะเจาะจงซ้ำเดิมเพียงแต่ไม่กี่ชนิด (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) พฤติกรรมซ้ำๆเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคได้ดี การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้บางทีอาจเป็นความประพฤติปฏิบัติทางร่างกายแล้วก็การเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพอใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่จำพวก อย่างเช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก แล้วก็เมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวะบีบคั้น การเคลื่อนไหวบ่อยๆพบมากได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางคนสนใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นละเลย


เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดจำเขี่ย โดยสิ่งที่สนใจนั้นอาจเป็นเรื่องที่เด็กปกติสนใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับประเด็นนั้นอย่างมาก ดังเช่น จดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ รวมทั้งพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พอใจบางทีอาจเป็นความรู้ด้านวิชาการบางสาขา ดังเช่น เลข คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน จึงช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนได้ดีขึ้น
นอกนั้นเด็กออทิสติกบางทีก็อาจจะดื้อมากมายรวมทั้งมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้สนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางครั้งบางคราวได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กดื้อรั้นสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกคลุมเครือ ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าอย่างมากบางทีอาจเจอการกระทำรังแกตัวเอง เช่น โขกหัวหรือกัดตนเอง เป็นต้น
ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้และมีความเข้าใจพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวอักษรและนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
กรรมวิธีรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แม้กระนั้นอาจมีการตรวจประกอบการวิเคราะห์จากพฤติกรรม
                โดยเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) และก็ได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในปัจจุบันใช้หลักเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) เป็นความผิดปกติในด้านความก้าวหน้าหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 จำพวก ได้แก่ autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder แล้วก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความมากมายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) แล้วก็มีคำที่เรียกกลุ่มออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยหมอจะมองอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความก้าวหน้าหรือไม่ ซึ่งอาการของเด็กที่มีวิวัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตความประพฤติ ซึ่ง มีอาการครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีอาการ จากข้อ (2) รวมทั้งข้อ (3) อย่างน้อยข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก 70% มีสภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วยนอกจาก โรค Asperger’s disorder จะหรูหราความหลักแหลมปกติ
  • ชัก เด็กกลุ่มโรคออทิสติก ได้โอกาสชักสูงยิ่งกว่าประชาชนทั่วๆไป และพบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกลุ่มที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่พบอาการชักในกรุ๊ปมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% จำนวนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่มีโอกาสชักมากที่สุดเป็น 10 -14 ปี
  • พฤติกรรมกระด้างแล้วก็การกระทำทำร้ายตนเอง พบได้บ่อย มีสาเหตุมาจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ และกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันที่ปฏิบัติบ่อยๆไม่สามารถทำเป็นตามเดิม พบปัญหานี้บ่อยครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติปฏิบัติทำร้ายตนเองพบบ่อยในโรคกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำ
  • พฤติกรรมซน/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้มาก ทำให้เกิดผลกระทบต่อปัญ หาการเรียน แล้วก็แนวทางการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอน เจอปัญหาด้านการนอนได้บ่อยมากในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยยิ่งไปกว่านั้นปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่เป็นเวลา
  • ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการกิน รับประทานยาก/เลือกกิน หรือรับประทานอาหารเพียงแค่บางจำพวก หรือกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรสิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวกับความไม่ดีเหมือนปกติทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรซิสก่อให้เกิดก้อนเนื้อนุ่มๆแตกออกขึ้นมาที่อวัยวะและก็สมองของเด็ก แม้จะไม่มีต้นเหตุแจ่มชัดว่าเนื้องอกเกี่ยวเนื่องกับอาการออทิสติกยังไง แต่ว่าจากศูนย์ควบคุมแล้วก็คุ้มครองโรค (Centers for Disease Control and Prevention) รายงานว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรสิสสูง


การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่นอนแต่มีผลการศึกษาเรียนรู้วิจัยหลายชิ้นบอกว่า เกี่ยวพันกับต้นสายปลายเหตุด้านกรรมพันธุ์ และก็ความผิดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
ขั้นตอนการดูแลช่วยเหลือคนป่วยออทิสติก ด้วยเหตุว่าโรคออทิสติกมักพบมากในเด็ก ฉะนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลและรักษาแบบบูรณาการโดยใช้แนวทางบำบัดหลายๆแนวทาง และก็ใช้บุคคลหลายท่านที่จะควรจะมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันกับตัวเด็ก เป็นต้นว่า บิดา แม่ บุคคลต่างๆในบ้าน คุณครู เพื่อที่โรงเรียนเป็นต้น ฉะน
บันทึกการเข้า