รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - ณเดช2499

หน้า: [1] 2 3 ... 5
1

ขายพลูคาว มะละกอ เป็นไม้ผลที่มีเนื้อในสีเหลืองส้ม ห่อด้วยเปลือกชั้นนอกบางๆสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีส้มหรือแดงเมื่อผลใกล้สุกสุดกำลัi;i;งแล้ว แม้ยังผิดผ่าออก มะละกอจะไม่ส่งกลิ่นใดๆก็ตามแต่เมื่อylylrhtrถูกyltปอกแล้วก็จำหน่ายพลูคาวผ่าจนกระทั่งมองเห็นเนื้rk78l7lอใน มะละกdejyukuอจะส่งกลิ่นหอมหวานออกมา นytอกเหนือจuliolากคนจะนิยมlkuluytlyioรับประทานมะละกอสุกคือผลykyukuklไม้ของว่างแล้ว มะละกอยังถูกเอามาเตdekutklulรียl;iมอาหารไtliy;;ทยหลายแบบ โดยเฉพาะตำส้ม ของกินยอดนิยมและก็ลือชื่อเป็นเอilkกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมือu;i;;yงไทยมะละกอในoiด้ulานคุณประโยชน์ทางโภชนาการ มะละกอtlgioคือผลไม้ที่ประกอบไปด้วยสารอาหululารนานาประเภทที่ulมีสาulระต่อร่าlkงกkuilาย ขายพลูคาวมีแคลอรี่ต่ำ ปราศจากไขมันหรืyi;iotluอคอtkjเลสเตอรอล แi;ล้วก็ยังเป็นแหล่งอาหารi;lที่สำคัญของวิตามินเอ วิตามินซี โพi;io;i;แทสเซีi;ยม โฟเลต แล้วก็เส้i;นใยอาหาร จำหน่ายพลูคาวยิ่งกว่านั้น ในมะละกulอยังมีสารikuiliol;พาเพนul(Papain) ซึ่งulเป็นเอulio;lนไซม์ที่ช่ilวยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และก็ไข;iมันได้เป็นอrhtyย่างดี เuylioกิดผลดีต่อกระilioบวนการเสื่อมสภาพอาหารพวlioll;ulกเนื้อสัuilioulตว์ที่ถูก;ftรับประทานเข้าไป และยังมีสารค;loipาร์เพน (Carpain) ที่คาดว่าtlอาจมีฤทธิ์ในการulาทำลายปรสิต ulรวมทั้งมีผลดีต่อระบบประสาทได้;i;oอีกด้วยโดยเหตุนั้น ผลแล้วก็ใบของมะละกอจึงเชื่อว่าyukมีสาระ;ioต่อร่างกายในด้านต่lาkl9uงๆylและก็บางทีi;tอาจสามารถนำlioมาใช้รักษาทุเลาลักษณะการป่วยอะไรบางอย่างได้ อาทิi;oช่น ช่วยทำให้ประสาทผ่อนคลาย ช่วยขับi;ขายพลูคาวฉี่ ป้องกันแล้วiolก็รักษาโรคในระบบlil;ทางเดินอาหาร การรับเชื้อและก็โรคพยาธิในลำไส้ และลักษณะของการปวดเส้นประสาทเนื่องจากว่ามีหนอนพยาธิในระfrkuilkบบน้ำเหลือง ฯลฯdr

Tags : ขายพลูคาว,จำหน่ายพลูคาว,ขายพลูคาว

2

ขายขมิ้นชัน ลักษณะของกล้วยเต่าต้นกล้วยเต่า จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้ขนาดเล็ก มีความสูงได้ราวๆ 1 เมตร ตghmuiามกิ่งอ่อนมีขนอ่อนขึ้นปกคmk89ลุมอย่างหนา87แน่น ส่วนwsjn5ymกิ่งแก่จะเรียบเป็นสีน้ำตาล 56bjkขยายพันธุ์ด้hjljวยวิธีการเพาะi;เlล็ด เ87lkติบโตได้ดิบได้ดีในจำหน่ายขมิ้นชันดินร่วนซุยผykสมทรy;pou;าย ไม่ซับน้ำ ถูกใจแสงแu8lดดจัด มีเขต7ผู้กระทำระจายพันธุ์ในเวียดนามและลrkjาว ในประเทy7lulศไทยพyบกระจายชนิดทางภาค8kเrkjykykหนือ ภาคกลาง แy7lละก็ภา89p89;คทิศตะวันyk8tyklluilออululก โดยเจอขึ้นใu8lนป่าดิบ ป่าเขาหรือป่าโปร่ง ป่าเต็งรั78ol8lง บนulilพื้นที่สูงจากระgดับน้ำท7ol8ejะเลตั้งแต่ 100-350 เมตร1,2,3,4rต้นกล้วยเต่าใบกล้วยเต่า ใบเป็นใบคนเ8kดียว ออกเรียงสลับในราบykเดียวกัน รูปแ09;'0';0ykuul8'บบของใบy;oiเป็นรูปขอบขนานจนถึงykytyรูtjytkop/ปไข่กลัyบปนรูปใบหอก ปลายใบแห8kลมหรือykuiมนรykวมทั้งมีติ่งแหลoip';op'ม โคนใบมนหรือหยักเว้าบางส่วน แผ่ใบแคบ มีulขนาดกว้างu8l9uyk;ราวpoyiu/ๆ kyk2-5 ซม.จำหน่ายขมิ้นชันและยาวประมาณ; 5-13 ซม. {หลัง|ข้างหลัykuk;บเป็rlk97lนสีเขียวเข้มหมดจดวาว ส่วนท้องใบมีขนkj.lk.แล้วก็มีสีจาjtjงกว่า เส้นกิ้tงก้านใบมีข้างละ 7-10 เส้น ก้านใบสั้น trkukuiมีความยาวได้เพียงแi;ค่ 3 มม. drkrjyfut7และมีขนสีเหลืองอ่อนขึ้นห89;l;นาแน่นดอกdekjktrjjulกล้วยเต่า ออกเป็นดอกโดดเrkl76ดี่ยวขนาดเล็ก7tlyuki8yตามง่ามใบ ก้านดอกสั้น ดอกเป็นสีเหi;ลืองykอ่อน กลีบดอกไม้rk78เรียงสลับกันมี 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ รูปแบบของ89lขายขมิ้นชันกrkt98ejyuลีบดอกไม้เป็rk78lนรูปไข่หรือรูปไข่ปนรูปใบหอก ปลายมน มีขนาดกว้uyllางราว 4 มิลลิเมตร แล้วก็ยาวประมาณ 5-8 มม. ข้างนอกกลีบมีขนละเอีย7lดสีเหลืtrluk89lองอ่อน ส่วนกลีบเลี้ยงt7l8y9lดอกมีขนาดเล็กio;และก็มี 3 กลีบ ลักษtkl8y9ณะเป็นสามyl098;เหลี่ยมเปลี่ยนๆมีขนาดกว้างio;รrวdkiulมทั้งยาวราวๆ8l 2 มม.ขายขมิ้นชัน ภายนอกมีขi;7lk8l9อ่อนนุ่ม ดอกมีเ;9;0;กสรเพศผู้เยอะๆอยู่บนdkryfศูนย์กลางของดอก

Tags : ขายขมิ้นชัน,จำหน่ายขมิ้นชัน,ขายขมิ้นชัน

3

ขายขมิ้นชัน ลักษณะของกล้วยเต่าต้นกล้วยเต่า จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้ขนาดเล็ก มีความสูงได้ราวๆ 1 เมตร ตghmuiามกิ่งอ่อนมีขนอ่อนขึ้นปกคmk89ลุมอย่างหนา87แน่น ส่วนwsjn5ymกิ่งแก่จะเรียบเป็นสีน้ำตาล 56bjkเพio;i;าะพันธุ์ด้วyhkยแrkuilวทางเพาะi;เlล็ด เจhkuilริญเติบโตได้ดิบได้ดีในจำหน่ายขมิ้นชันดินร่วนซุยผykสมทรy;pou;าย ไม่ซับน้ำ ชอdjyrjบแสงอาทิตย์จัด มีเขต7การกระจายชนิ9';0'ดในเวียดนามแล้วก็ลrkjาว ในประเทy7lulศไทยเจอกระyukจัดกระykายพันธุ์ทางภาค8kเrkjykykหนือ ภาคกลาง gkและภา89p89;คทิศตะวันyk8tyklluilออululก โดยพบขึ้นใu8lนป่าดิบ ชายเขาหรือป่าโปร่ง ป่าเต็งรั78ol8lง บนulilพื้นที่สูงจากระgดับน้ำท7ol8ejะเลตั้งแต่ 100-350 เมตร1,2,3,4rต้นกล้วยเต่าใบกล้วยเต่า ใบเป็นใบโukดดเดี่lยว ออกเรียงสลับในราบykเดียวกัน รูปแ09;'0';0ykuul8'บบของใบy;oiเป็นรูปขอบขนานจนกระทั่งรูtjytkop/ปไข่กลัyบปนรูปใบหอก ปลายใบแห8kลมหรือykuiมนแล้วก็มีติ่งแหลoip';op'ม โคนใบมนหรือหยักเว้าบางส่วน แผ่ใบแคบ มีulขนาดกว้างu8l9uyk;ราวpoyiu/ๆ kyk2-5 ซม.จำหน่ายขมิ้นชันรวoi;มทั้งยาวราว 5-13 ซม. {หลัง|ข้างหลัykuk;บเป็rlk97lนสีเขียวเข้มเกลี้ยงเป็นมัน ส่วนท้องใบมีขนkj.lk.ykuuรวมทั้งมีสีจาjtjงกว่า เส้นกิ่งก้าyนสykาขาใบมีข้างละ 7-10 เส้น ก้านใบสั้น trkukuiมีความยาวได้เพีi;ยง 3 มม. drkrjyfut7และก็มีขนสีเหลืองอ่อนขึ้นห89;l;นาแน่นดอกdekjktrjjulกล้วยเต่า ออกเป็นดอกโดดเrkl76ดี่ยวขนาดเล็ก7tlyuki8yตามง่ามใบ ก้านดอกสั้น ดอกเป็นสีเหi;ลืองykอ่อน กลีบ ดอกเรียงสลับกันมี 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ลักษณะของขายขมิ้นชัน[/u]กลีบเป็rk78lนรูปไข่หรือรูปไข่ปนรูปใบหอก ปลายมน มีขนาดกว้uyllางราว 4 มม. รวมทั้งยาวราt7k8lว 5-8 มิลลิเมตร rlt7ltภา98l89lยนอกกลีบมีขนละเอีย7lดสีเหลืtrluk89lองอ่อน ส่วนกลีบเลี้ยงt7l8y9lดอกมีขนาดเล็กio;และมี 3 กลีบ ลักษtkl8y9ณะเป็นรูปสามเหลี่ยมกลายๆมีขนาดกว้างio;รrวdkiulมทั้งยาวโดยประมาณ8l 2 มม.ขายขมิ้นชัน ภายนอกมีขi;7lk8l9อ่อนนุ่ม ดอกมีเ;9;0;กสรเพศผู้มากไม่น้อยเลยทีเดีi;ย8;y90วอยู่บนdkryfศูนย์กลางของดอก

Tags : จำหน่ายขมิ้นชัน,ขายขมิ้นชัน

4

สมุนไพรพญายอ
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาแพทย์ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสมหะพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่), พญาข้อคำ (ลำปาง), เสมหะพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาบ้องดำ พญาปล้องทอง (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น
รูปแบบของเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้ปนเถา มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราวๆ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะสะอาด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นข้อสีเขียว เพาะพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำหรือแยกเหง้ากิ่งก้านสาขาไปปลูก เจริญวัยก้าวหน้าในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีแสงแดดจัด มีเขตการกระจายชนิดในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วๆไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสมหะพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบผู้เดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบรวมทั้งโคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างราว 2-3 ซม. และยาวราวๆ 7-9 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย
ดอกพญายอเสมหะพังพอนตัวเมีย ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก คือ ปากด้านล่างและก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่รอบๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียหมดจดไม่มีขน มีดอกในช่วงราวๆเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม (แต่ว่าชอบไม่ค่อยออกดอก)
ดอกเสมหะพังพอนตัวเมีย
พญาข้อทอง
ลิ้นงูเห่า
ผลเสมหะพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลสำเร็จแห้งรวมทั้งแตกได้ (แต่ผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ประมาณ 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ข้างในผลมีเม็ดราว 4 เม็ด
หมายเหตุ : เสลดพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 จำพวกหมายถึงเสลดพังพอนเพศผู้ และเสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสลดพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงงวยหลายๆตำราเรียนจึงนิยมเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาข้อทอง” โดยเสมหะพังพอนเพศผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมีย รวมทั้งตำราเรียนยาไทยนิยมนำมาใช้ทำยากันมาก
คุณประโยชน์ของเสมหะพังพอนตัวเมีย
รากและก็เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง (รากและเปลือกต้น)
อีกทั้งต้นและใบใช้กินเป็นยาทำลายพิษไข้ ดับพิษร้อน (ทั้งยังต้นและใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการกางใบสด 1 กำมือ ตำอย่างระมัดระวัง ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนหัวคนป่วยโดยประมาณ 30 นาที อาการไข้และอาการปวดศีรษะจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (ทานอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดเอามาต้มกินทีละราว 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาบดประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10-15 ใบ ตำอย่างระมัดระวังผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และลักษณะการเจ็บปวดจะหายไปข้างใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (อีกทั้งต้นและก็ใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับรอบเดือน (ราก)
ใช้เป็นยาแก้รอบเดือนมาไม่ดีเหมือนปกติ (ต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน (ต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบเป็นไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการกางใบสดราว 3-4 ใบ นำมาตำกับข้าวสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำเพียงพอแฉะ ใช้พอกประมาณ 2-3 รอบ จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น (ใบ)
ลำต้นเอามาฝนแล้วก็ใช้ทาแผลสดจะช่วยทำให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการกางใบสดประมาณ 5 ใบ เอามาตำพอกบริเวณแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดเอามาตำอย่างถี่ถ้วนผสมกับสุรา ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก จะมีคุณประโยชน์ช่วยดับพิษร้อนเจริญ4 ส่วนอีกหนังสือเรียนกล่าวว่า นอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องจากว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นมาจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ใบราว 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เติมน้ำลงไปให้พอแฉะ แล้วเอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปครู่หนึ่งหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการใช้ใบสดตำผสมกับสุราใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวนำมาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวแล้วก็เม็ดผดผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบนำมาโขลกผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็น แปลงยาทุกตอนเช้าและก็เย็น (ใบ)
ทั้งยังต้นและใบใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ รวมถึงผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดราวๆ 5-10 ใบ เอามาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดนำมาตำให้พอแหลก แช่ในเหล้าขาวราวๆ 1 อาทิตย์ แล้วหลังจากนั้นก็ให้นำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ลมพิษ ตามข้อมูลกล่าวว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำน้อย ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

ชาวเมืองจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา และใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสมหะพังพอนตัวเมียสดราวๆ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมัน ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินความจำเป็น) แล้วนำมาตำผสมกับสุราหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและก็เอากากพอกรอบๆแผล หรืออีกแนวทางให้จัดแจงเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโลกรัม เอามาปั่นอย่างระมัดระวัง เพิ่มเติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังละอองน้ำให้ปริมาตรน้อยลงครึ่งหนึ่ง (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) และก็เพิ่มกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสมหะพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก และใช้ถอนพิษต่างๆสำหรับแบบเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับดอกลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเสมอกัน รวมกันตำให้เพียงพอแหลก แช่กับเหล้า แล้วประยุกต์ใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลุกลี้ลุกลนไฟให้ร้อน แล้วเอามากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกซะก่อน แล้วจึงใช้ใบเสมหะพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า รวมทั้งยางสาวน้อยผัดแป้ง ด้วยการกางใบผสมกับเหล้า นำมาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้ฝึกหัด เหือด ด้วยการกางใบสดราวๆ 7 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกแล้วก็ผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งสองมาผสมกัน ใช้อีกทั้งกินแล้วก็ทาทา (ยาทาให้ใส่พิมเสนลงไปน้อย) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ ทั้งยังต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม กลยุทธ์ปวดเมื่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นในร่างกาย แก้อาการปวดปวดเมื่อยด้วยเหตุว่าเย็นชื้น (ทั้งยังต้น)
รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยบั้นเอว (ราก)
ขนาดแล้วก็วิธีใช้ : ยาแห้งให้ใช้ทีละ 5-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ส่วนยาสดให้ใช้ครั้งละ 30 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือตำพอกแผลภายนอก
ข้อควรคำนึงพญายอ
: ในอดีตกาลจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แต่ว่าในตอนนี้แนวทางลักษณะนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว เพราะว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล แล้วก็อาจจะทำให้ติดเชื้อโรคเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสมหะพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากเจอสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบพบสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides อาทิเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol แล้วก็สารกรุ๊ป glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม
จากการทดสอบในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสลดพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสลดพังพอนตัวเมียปริมาณร้อยละ 5 ใน Cold cream แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กิโล มีประสิทธิภาพต่อต้านการอักเสบได้ดี
เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนคได้ ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก.ต่อกิโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อโล ส่วนสารสกัดด้วยน้ำและก็สารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่มีผลลดความเจ็บ
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล รวมทั้งเอทิลอะสิเตทจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 และก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในขณะที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์ และก็จากรายงานการรักษาคนเจ็บโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสลดพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และก็ยาหลอก โดยให้ผู้เจ็บป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้ต่างอะไรในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้เจ็บป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบและยา acyclovir โดยแผลจะเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน และหายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่ทำให้มีการเกิดการอักเสบและก็ระคาย ในตอนที่ acyclovir จะก่อให้แสบ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาที่ทำจากเสลดพังพอนตัวเมียในคนไข้โรคเริม งูสวัด และก็แผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลแล้วก็ลดการอักเสบได้ดิบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสจำพวกที่ส่งผลให้เกิดเริมและอีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ ตราบจนกระทั่งแผลจะหาย พบว่าผู้เจ็บป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายภายใน 7-10 วัน จะมีจำนวนไม่น้อยกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมทั้งระดับความเจ็บปวดจะลดน้อยลงเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆก็ตาม9
จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษเล็กน้อย แต่ว่าจะมีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อโล (เสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อเอามาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการเป็นพิษใดๆ
จากการศึกษาพิษกึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 แล้วก็ 540 มก.ต่อกก. ให้หนูแรทแต่ละวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่ว่าพบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในเวลาที่น้ำหนักของตับเพิ่มขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่พึงประสงค์แต่อ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

5

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อตระกูล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อท้องถิ่นผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาบ้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มคอยเลื้อย ลำต้นและแขนงหมดจดวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานปนใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซ็นติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบดอกไม้สีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็คุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากว่าแมลงกัดต่อยและโรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides ดังเช่นว่า 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอจำนวนร้อยละ 5  ใน cold cream รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อเอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก./กก. จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก./โล (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และเอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 และใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในระหว่างที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลและรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และก็ยาหลอก  โดยให้คนป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอรวมทั้งยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายสนิทภายใน 7 วัน ซึ่งแตกต่างกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่นำไปสู่การอักเสบ ระคาย ในระหว่างที่ acyclovir ทำให้แสบ   ยิ่งกว่านั้นมีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในผู้ป่วยโรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลแล้วก็ลดการอักเสบก้าวหน้า   
เชื้อไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย  พบว่าผู้เจ็บป่วยที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน จะมีจำนวนไม่ใช่น้อยกว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ระดับความเจ็บลดลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลกระทบอะไรก็แล้วแต่


อาการข้างๆ


ความเป็นพิษทั่วไปแล้วก็ต่อระบบขยายพันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แม้กระนั้นเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโล (หรือเทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่นำมาซึ่งอาการพิษอะไรก็แล้วแต่
การเรียนรู้พิษ
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]กึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ 540 มก./กก. ทุกวี่ทุกวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัเสียใจลง ในขณะที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความไม่ปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่ประสงค์ใดๆก็ตาม หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโล ทุกวี่ทุกวันนาน 90 วัน พบว่าการกินของกินของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดและกรุ๊ปควบคุมไม่ได้มีความแตกต่างกัน แม้กระนั้นน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/โล ต่ำกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงกว่า และครีอาว่ากล่าวนินต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ไม่พบความแตกต่างจากปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน รวมทั้งพยาธิสภาพภายนอกhttp://www.disthai.com/

6

กระเทียม
คุณประโยชน์กระเทียม
ปรับความดันเลือดให้อยู่ในระดับธรรมดา
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ก็เลยเหมาะสมกับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน
บำรุงเลือด คุ้มครองอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ปกป้องโรคหัวใจ
ลดอาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินการได้ดีขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
ปกป้องไข้หวัด ยับยั้งการเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ รวมทั้งลดความเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 ประโยชน์ดีๆที่เราอยากให้คุณทานทุกวัน
วิธีทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิซินในกระเทียมที่มีสาระต่อสภาพร่างกายของพวกเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ตี หรือบด จำเป็นที่จะต้องหั่น สับ ตี หรือบดกระเทียมก่อนเอามาประกอบอาหาร 5-10 นาที โดยสารอัลลิซินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ด้วยเหตุดังกล่าวจะทานสด หรือจะทำอาหารในน้ำมันก็ไม่เป็นไร
จำนวนกระเทียมที่ควรทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ประมาณ4 กรัมต่อวัน แม้กระนั้นไม่ควรทานมากเกินกว่านี้ต่อเนื่องกันเกิน 10 วัน เพราะจะเพิ่มการเสี่ยงภาวการณ์เลือดแข็งช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดรอยแผล
แนวทางเลือกซื้อกระเทียมมาทำกับข้าว
ควรที่จะทำการเลือกกระเทียมที่หัวแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น และถ้าเกิดอยากได้รสของกระเทียมแบบแรงๆควรที่จะเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วของกินมื้อถัดไปก็บอกให้แม่ครัวพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในของกินให้ด้วยนะคะ แต่ว่าระวังสักหน่อย หากทานกระเทียมมากๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเทียมสด อาจมีอาการเจ็บคอวันหลัง และก็อย่าลืมระแวดระวังกลิ่นปากกันด้วยค่ะ ประเดี๋ยวจะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นพืชล้มลุกประเภทกินหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ภายนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆหุ้มอยู่หลายชั้น ภายในหัวประกอบแกนแข็งตรงกลาง ภายนอกเป็นกลีบเล็กๆปริมาณ 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนแล้วก็ใส  มีน้ำเป็นองค์ประกอบสูง มีกลิ่นแรงจัด
ลำต้นและก็หัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศไทย แม้กระนั้นนิยมนำมาปลูกกันมากมายทางภาคเหนือและก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเหตุว่ามีสภาพดินแล้วก็สถานการณ์อากาศที่เหมาะมากกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเจริญวัยเจริญ สำเร็จผลิตสูงแล้วก็มีรสชาติที่ดีมากยิ่งกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกและก็ใหญ่ยาว สูง 30-60 ซม. มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูห่ออยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบมีสาเหตุมาจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปมาก ใบโดดเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 30-60 เซนติเมตร ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบแล้วก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นรวมทั้งเชื่อมติดกันเป็นวงหุ้มห่อรอบใบที่อ่อนกว่าแล้วก็ก้านช่อดอกนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวรวมทั้งสีจะค่อยๆจางลงจนกระทั่งถึงโคนใบ ส่วนที่ห่อหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่น้อยอยู่ปะปนกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบเสริมแต่งใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 เซนติเมตร ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมหุ้มห่อช่อดอกในเวลาที่ยังตูมอยู่ แม้กระนั้นเมื่อช่อดอกบานใบประดับจะเปิดอ้าออกและก็ห้อยลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านกระโดด เรียบ รูปทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 ซม. ดอกบริบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือติดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูรวมทั้งก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือค่อนข้างจะกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากมายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วก็ภาคเหนือ แม้กระนั้นกระเทียมที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นแรง ดังเช่นว่ากระเทียมจากจังหวัดศรีสะเกศา
แนวทางเลือกซื้อกระเทียม
วิธีสำหรับการเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารณง่ายๆเป็น เลือกกระเทียมที่หัวแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญถ้าจำต้องทำอาหารที่อยากได้กลิ่นฉุนๆต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กเท่านั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะมีความเห็นว่ากระเทียมมีประโยชน์และก็คุณประโยชน์มากไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นแรง แต่ก้ไม่ยากเกินความจำเป็นที่จะกินนะครับ ด้วยเหตุผลดังกล่าวอย่าลืมเพิ่ข้อควรพิจารณาสำหรับในการกินกระเทียมโดยเฉพาะบุคคลในกรุ๊ปต่อไปนี้
ผู้ที่กำลังมีท้องหรือคนที่อยู่ในช่วงให้นมลูก การรับประทานกระเทียมในช่วงการมีท้องค่อนข้างไม่เป็นอันตรายถ้าเกิดกินเป็นของกินหรือในปริมาณที่เหมาะสม แม้กระนั้นบางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้ากินกระเทียมเป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้วางใจพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่บริเวณผิวหนังในตอนการตั้งท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การรับประทานกระเทียมในปริมาณที่เหมาะสมรวมทั้งในระยะสั้นๆบางทีอาจไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก แต่การใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนและก็ระคาย
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือการย่อยของอาหาร อาจก่อให้มีการระคายที่ดินเดินอาหารได้
คนที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจก่อให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำลงมากกว่าปกติ
คนที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรจะหยุดรับประทานกระเทียมก่อนที่จะมีการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 สัปดาห์เพราะว่าอาจก่อให้เลือดออกมากรวมทั้งส่งผลต่อความดันโลหิตในระหว่างการผ่าตัด และผู้ที่มีภาวะเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติไม่ควรกินกระเทียม โดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด เพราะว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค ดังเช่นว่า ไอโซไนอะสิด เนื่องจากว่ากระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาภายในร่างกายและส่งผลต่อความสามารถการทำงานของยา รวมถึงไม่สมควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังต่อไปนี้
ยารักษาการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคเอดส์
ยาคุม
ยาต้านทานการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านทานเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านครับ คุณประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากกระเทียมนั้นเหลือร้ายจริงๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

7

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ พวกเรากำลังดูหนังการทำศึกอยู่หรอ เปล่านะครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แม้กระนั้นหมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก แล้วก็ที่จำต้องหนี ไม่ใช่ใครกันแน่ที่ไหน แต่เป็นโรคฮอตฮิตในปัจจุบันอย่างโรคอ้วน เบาหวาน ต่างหากที่จำเป็นต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นเป็น หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมราวกับทุกๆวันนี้เพราะจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาทำอาหาร เหมือนเผือก เสมือนมันทั่วไปเพียงพอเริ่มมีคนมาวิจัย   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยแปลงเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการแปรรูปเป็นต้นแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก รวมทั้งอื่นๆอีกมาก วันนี้เองก็คงไม่ช้าเหลือเกินที่จะนำทุกท่านมารู้จะ พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปิศาจ  น่าสยองนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกปะทุงคก (จังหวัดชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราพบบุกถึงที่กะไว้ไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วๆไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ชายเขา แล้วก็บางโอกาสก็เจอตามพื้นที่ ปลูกข้าว อาทิเช่นที่ปทุมธานี และก็นนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกประเภท แม้กระนั้นจะเจริญวัยได้ดิบได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก บอกให้เห็นองค์ประกอบเป็นใบบุก รวมทั้งหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ชนิดเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราวๆ 25 ซม. (บางพันธ์บางทีอาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางจำพวกมีก้านใย เป็นลวดลายบางชนิดมีหนามอ่อนๆ หรือบางโอกาสบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวข้างบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่มากมายมากมาย  แม้กระนั้นที่เด่นๆพินิจง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเสมือนหงายร่ม ดังนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบอย่างสังกัดประเภทของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละประเภทมีขนาด สี และก็รูป ทรงไม่เหมือนกัน บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเสมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกประเภทอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกชอบมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แม้กระนั้นบุกสามารถมีดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับการแก่เต็มที่ ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุก (อย่างวยงงกับหัวบุกนะ ) หลังจากดอก ผสมพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเม็ดภายในแตกต่าง พบว่าโดยมากมีเมล็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางชนิดก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาประกอบอาหาร
เป็นพืชอาหารพื้นบ้านซึ่งคนประเทศไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค เช่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทำของหวานที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยเฉพาะชาวดอย มักนำมา ปิ้งกิน ภาคกึ่งกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วจึงนำไปทำเป็นของว่าง
*บุกมีหลายแบบหลายจำพวก อาจขมรวมทั้งเป็นพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบและก็หัว ซึ่งอาจจะก่อให้คัน ก่อนนำมาประกอบอาหารจะต้องต้มเสียก่อน มิเช่นนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากรวมทั้งลิ้นพอง
ของกินที่แปรรูปมาจากบุก
เดี๋ยวนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง ในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งคือสินค้าดัดแปลงจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนไหนเคยไปกินเนื้อย่างคงเคยพบบ้าง เว้นแต่เส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆสมัยเก่าเป็นเจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยนะครับ)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่มีน้ำตาล 2 ชนิด คือ ดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) และก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายเสื่อมสภาพได้ยาก ดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานรวมทั้งสารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนนิยมกินอาหารจากแป้งบุก ตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แม้กระนั้นไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งกว่านั้นเองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากความรั้ง ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส เพราะฉะนั้น กลูวัวแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมาก ปัจจุบันนี้จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน รวมทั้งสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละนะครับคือคุณประโยชน์จากบุก ลองหามาทานกันครับผม มีสาระขนาดนี้ สมัยปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับ รับรองอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

8

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’พบ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของพวกเรา ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แล้วก็เส้นใยมากมายอีกด้วย ซึ่งคุณประโยชน์ของขิงนั้น พวกเราสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งหมด
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดเยี่ยม
มีสารต้านอนุมูลอิสระไม่น้อยเลยทีเดียว ช่วยชะลอความแก่แล้วก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการป้องกัน ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านการเติบโตของเซลล์ของมะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง ด้วยเหตุดังกล่าวควรรับประทานขิงพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาโรคมะเร็งจะเป็นประโยชน์
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และก็ช่วยในการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นสดๆเอามาทุบให้แหลกราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดน้ำหนัก ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดศีรษะและก็ไมเกรน ด้วยการรับประทานน้ำขิงเป็นประจำ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดยาเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำ
ช่วยทำนุบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาลักษณะของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจหม่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่ข้างหลังคลอดลูก ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลีเอามาต้มกับน้ำกิน ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของแม่ (ผล)
ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เอามาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเอามาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยทุเลาอาการได้
ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ ทุเลาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดเดียว
ไอน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในผู้ป่วยที่มีอาการเมายาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยไขปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนถึงอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก เอามาพอกบริเวณที่มีผมร่วง วันละ 2 ครั้งจนกระทั่งอาการ หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่สกัดจากมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้เช่นกัน แถมยังช่วยให้ผมงาม แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และใช้แก้อาการตาพร่า (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้งผาก เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อยยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาตีอย่างถี่ถ้วนคั่วกับน้ำสารส้มกระทั่งเกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผุยผง แล้วนำมาพอกบริเวณฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสลดขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาสภาวะน้ำลายมาก คลื่นไส้เป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและเกลือนิดหน่อย นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยบำรุงรักษาฟันและก็คุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยกำจัดกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้บ่อยๆ จะสามารถช่วยในการกำจัดคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งน้อย คนจนเข้ากันแล้วนำมาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง เอามาตำจนกระทั่งถูกกัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดโดยประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เอามาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการคลื่นไส้อ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งท้องไม่ควรกินบ่อยจนกระทั่งเหลือเกิน)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาตีเพียงพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้ราวๆ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาอาการปวดในตอนก่อนหรือหลังรอบเดือน ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเสมอๆ
ช่วยสำหรับในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับในการขับถ่าย รวมทั้งช่วยในเรื่องของระบบไส้ให้ดำเนินงานได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกลำไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่พักผ่อนในคนไข้ที่มีภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเสมอๆ
มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นสะเก็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่สุรา 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 1 วัน แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดบริเวณดังที่กล่าวมาข้างต้นวันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมบริเวณข้างหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาเปลือกนอกกระทั่งเป็นถ่าน คอยเฉือนถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับบริเวณที่ถูกกัดจะช่วยบรรเทาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยปกป้องการแพ้อาหารทะเลจนกระทั่งเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรือของกินช็อกประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกบริเวณแผล เพื่อป้องกันการอักเสบแล้วก็การเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการปรุงอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติของกินได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารได้ดีอีกด้วย
ในด้านความงดงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดบริเวณต้นขา ก้น หรือบริเวณที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาดัดแปลงได้หลายอย่าง อย่างเช่น ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ

ขั้นตอนการทำน้ำขิง
ขั้นตอนการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงอันดับแรกให้จัดเตรียมส่วนผสมดังนี้ ขิงแก่ 1 กก. / น้ำตาล 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาตีให้แตก แล้วนำมาใส่ด้านในหม้อต้ม เติมน้ำสะอาดลงไป เอาขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มกระทั่งน้ำเดือดและก็หลังจากนั้นจึงค่อยค่อยไฟลง ต้มราว 20 นาทีจนกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนกระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เติมน้ำตาลลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความปรารถนา) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เรียบร้อยและสามารถเอามากินได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้ด้วยเหมือนกัน แต่ควรจะเติมน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินไป เพราะเหตุว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่สมควรใช้ปริมาณที่เข้มข้นจนเกินไป เพราะเหตุว่าจะมีอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะเหตุว่าจะไปยับยั้งการบีบตัวของลำไส้ กระทั่งทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ดังนั้นควรจะคั้นในปริมาณน้อยๆหรือดื่มจนเคยชินก่อน
เราชอบรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมนำมาใช้ในการทำอาหารและก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งอันที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการเยียวยารักษาโรคต่างๆได้สารพัดสารพัน ถือได้ว่าตัวช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แม้กระนั้นทั้งนี้พวกเราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งคุณประโยชน์ของขิงเพียงอย่างเดียวในการบรรเทาโรค น่าจะทำอันอื่นหรือดูแลสุขภาพของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
พวกเรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน แล้วก็ยังมีใยอาหารเยอะขึ้นตามไปด้วย แต่เนื่องมาจากขิงมีรสเผ็ด มีคุณสมบัติอุ่น ก็เลยไม่เหมาะกับคนที่มีความร้อนภายในร่างกายอยู่แล้ว อาทิเช่นคนที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงกลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าธรรมดา แต่ถ้าจะรับประทานควรระมัดระวังเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

9

น้ำมันเหลือง เป็นยังไง?
[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันเหลือง[/url] ยาแผนโบราณจากพืชสมุนไพรคุณภาพเลิศ ทำจากพืชสมุนไพรประเภทต่างๆกัน คุณประโยชน์ที่ใช้ดม ทา นวด เพื่อทุเลาอาการต่างๆสรรพคุณนี้ไม่ด้อยกว่ายาแผนปัจจุบันเลยทีเดียว
บริการนวดน้ำมันเหลืองและก็ส่วนใหญ่สร้างความแข็งแรง ระบบภูมิต้านทานแล้วก็ช่วยในการย่อยของกิน.
ศิลป์ที่สวยงามของการนวดได้ทวีความรุนแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยการนวดน้ำมันบางมากมาย. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณลักษณะรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อให้บริการด้านต่างๆในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ดีที่สุดสำหรับความจำเป็นส่วนบุคคลของคุณแล้วก็ผ่อนคลายร่างกายของคุณด้วยการนวดบรรเทาแล้วก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลทางจิตวิญญาณของคุณและสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.
คุณประโยช์จากการนวดน้ำมัน
นวดจริงหมายถึงการกระตุ้นเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อผลักดันสุขภาพและก็ฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งสิ้น. น้ำมันนวดถูกดีไซน์มาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในระหว่างนวด แล้วก็ในเวลาเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้มีความผ่อนคลายสูงที่สุดสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ. อ่านต่อไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณประโยช์จากการนวดน้ำมันเหลืองและก็ผ่อนคลายร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดสดชื่น.
การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
การนวดน้ำมันเหลืองเป็นวิธีสำหรับดูแลสภาพผิวและสุขภาพที่ขอชี้แนะเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรและพืชต่างๆที่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย โดนการนำสารสกัดกลิ่นและเนื้อน้ำมันพวกนั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอม รวมทั้งสัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความเคร่งเครียด ทำให้พวกเราผ่อนคลาย น้ำมันเหลือง รวมไปถึงช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นแล้วก็ผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้เราจะพาไปดูประโยชน์ซึ่งมาจากการนวดน้ำมันว่ามีคุณประโยชน์ในด้านใดบ้าง
          ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ สร้างขึ้นมาจากสมุนไพรแท้ 100% ไม่มีส่วนผสมจากสเตอรอยด์หรือสารเคมีอันตรายใด  ซึ่งก็มีสิ่งที่ห้ามจำกัดอยู่ด้วยเหมือนกันสำหรับในการใช้ ซึ่งในกรณีที่มีการแพ้สาร Notoginsenoside, Flavonoid, การบูร
มาดูคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากน้ำมันนวดกันจ้ะ

  • ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ จากการนั่งทํางานนานๆทํางานหน้าคอมฯ Office syndrome ฯลฯ
  • คนทํางานที่จำเป็นต้องใช้กล้าม อย่างเช่น ยกของหนัก
  • นักกีฬา หรือผู้ที่บาดเจ็บจากการออกกําลังกาย
  • นักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว
  • คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับ กระดูก ข้อต่อ เอ็น กล้าม ตัวอย่างเช่น ข้อหัวเข่าอักเสบ, เอ็นอักเสบ, กระดูกทับ เส้นประสาท ฯลฯ


        น้ำมันเหลือง ซึ่งเรามาดูผลเสียจากการทานยาคลายกล้ามกันนะคะ ทำไมถึงต้องเลือก น้ำมันนวดด้วยเหตุว่า ยาคลายกล้ามเนื้อธรรมดาที่เราทาน ทำให้กล้ามเนื้อรู้สึกหายเป็นปกติจริง พวกเราจะคิดว่ามันหายเป็นปกติ รวมทั้งออกกำลังกายได้ปกติไม่เจ็บ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วกล้ามเนื้อยังอักเสบอยู่ ถ้าพวกเรายังใช้งานกล้ามเนื้อดังเดิมจะมีผลให้กล้ามอักเสบมากขึ้น การที่กินยาแล้วบริหารร่างกายส่วนนั้นต่อเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆเข้า ก็บางครั้งอาจจะอัดเสบเรื้อรังได้ อันนี้เป็นข้อผลร้ายทางอ้อมมาจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อน้ำมันเหลือง ซึ่งคนจำนวนมากรวมทั้งจะใช้กล้ามเนื้อหรือทำงานปกติทุกสิ่งเนื่องจากว่าพวกเราไม่รู้เรื่องสึกปวดหรือเจ็บแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่ถูกเพราะการทานยาคลายกล้ามเนื้อยาเมื่อพวกเราทาน
นํ้ามันนวด ตัวนี้เหมาะกับคนใดกันบ้าง?

  • คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ผู้ที่ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • คนที่ปวดมือและก็คอจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ
  • ปวดหลังจาก Office syndrome
  • คนที่ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • ผู้ที่ปวดหัวเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • เจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท กระทั่งปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ
  • ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • ช๊อปจัดหนัก กระทั่งปวดขา


          สำหรับคนไหนที่  มีติดบ้านกันไว้ก็ดีนะคะ บทความนี้เป็นเพียงรีวิวการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นความความเห็นส่วนตัวแค่นั้นนะคะไม่ได้ขายคอแต่อย่างใด พวกเราใช้แล้วเห็นผลจริงก็เลยมาบอกต่อซึ่ง บทความนี้พวกเราได้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บต่างๆนะคะ น้ำมันเหลืองเพื่อมาประกอบสำหรับในการรีวิว ซึ่งถ้าหากมีจุดบกพร่องอย่างใด สามารถติชมและก็แนะนำกันเข้ามาได้ และก็สามารถติดตามบทความรีวิว ของเราได้เรื่อยเลย และพวกเราจะมีผลิตภัณฑ์ดีๆตัวไหนมาชี้แนะอีกห้ามพลาดเด็ดขาดนะคะ เจอกันในบทความหน้า
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันเหลืองนวดขึ้นอยู่กับการใช้แรงงาน และก็สรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละประเภท โดยส่วนมากน้ำมันเบื้องต้นที่นิยมเอามาผสมทำน้ำมันนวด เช่น น้ำมันที่ทำจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งมีวิตามินอี สูงกว่าน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากถั่วเหลือง แล้วก็น้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ รวมทั้งทำลายของเสียที่รังแกเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต คุ้มครองการเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันเหลือง นอกจากนี้น้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต้องต่อสุขภาพร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย

Tags : น้ำมันเหลือง

10

น้ำมันนวด
คุณประโยชน์จากการนวดน้ำมัน
น้ำมันนวดหมายถึงการกระตุ้นเนื้อเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อเกื้อหนุนสุขภาพรวมทั้งฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งผอง. น้ำมันนวดถูกวางแบบมาเพื่อให้มือเลื่อนได้ง่ายขึ้นในระหว่างนวด และในขณะเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้ความรู้สึกผ่อนคลายสูงที่สุดสำหรับทั้งกายใจ. อ่านต่อไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณประโยชน์จากการนวดน้ำมันและผ่อนคลายร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดสดชื่น.
เมื่อมาถึงการนวดน้ำมัน, มีหลายร้อยปิดตัวเลือกที่แตกต่างให้เลือก. คุณได้อย่างอิสระสามารถเลือกจากจำนวนมากน้ำหอมและก็สีที่แตกต่างกันเพื่อให้บริการ. น้ำมันนวดบำบัด, น้ำมันร้อน, น้ำมันนวดกระตุ้นความรู้สึก, น้ำมันหอม
จะสามารถพบได้ในตลาดน้ำมันนวดเพื่อให้คุณสามารถเลือกที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการรวมทั้งความปรารถนาของคุณ.
สัมผัสของคนเราสามารถมีการรักษารวมทั้งพลังความสดชื่นสำหรับผิวและน้ำมันนวดออกมาจากผิวนุ่มและเรียบ. เว้นแต่ความรู้สึกสบาย thei พวกเขาถ่ายทอด, น้ำมันนวดยิ่งกว่านั้นยังมีทางที่น่าประหลาดที่ช่วยบำรุงรักษาผิวของคุณและก็กำจัดจุดแห้งบนผิวของคุณ. แม้กระนั้น, หลังการนวด, จะแนะนำให้ใช้เวลาอาบน้ำที่บรรเทาเพื่อล้างน้ำมันออกมาจากร่างกายของคุณ. น้ำ จะยังช่วยผิวรูขุมขนจะเปิดก็เลยผลักดันการดูดซึมของน้ำมันนวดไปสู่ผิวของคุณ. ลองมาดูกันคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่สำคัญของการนวดน้ำมันบรรเทา.
ลดการ ความเครียด
นวดเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมมากมาย ลดความเคร่งเครียด และความตึงเครียดที่มีการสะสมภายในร่างกายของคุณในระหว่างวันที่อ่อนแรง.
น้ำมันนวดน้ำมันหอมระเหยที่มีน้ำมันหอมระเหยที่สงบประสาท, ช่วยทำให้คุณบรรเทาแล้วก็กำจัดความนึกคิดเชิงลบที่สะกิดความเครียด.
สุภาพ, สัมผัสการดูแลการแสดงในงานน้ำมันนวด, ช่วยทำให้คุณ รักษา รวมทั้งคืนจิตวิญญาณและก็ความสมดุลทางอารมณ์ของคุณ.
เสริมการไหลเวียนของโลหิตดียิ่งขึ้น
หนึ่งในผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของน้ำมันนวด ซึ่งมันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดแล้วก็ในเวลาเดียวกันจะช่วยลดระดับความดันเลือดซึ่งเป็น น.
สาเหตุ ajor สำหรับคนที่ประสบพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ ความดันโลหิตสูง.
ปิดเปลี่ยนแปลง
นวดน้ำมันที่ดีเลิศของคุณผ่อนคลายร่างกายและก็ผลักดันการนอนหลับที่ดีมากกว่าสำหรับวัน.
หลายท่านเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานสาหัสจากความไม่ดีเหมือนปกติของการนอนต่างๆได้สังเกตเห็นการแก้ไขในนิสัยการนอนของพวกเขาหลังการดูแลรักษาด้วยการนวดผ่อนคลาย. น้ำมันนวดกระตุ้นจิตใจแล้วก็จิตวิญญาณ การบำบัด, ดังนั้นคนเป็นจำนวนมากมายมีประสบการณ์การนอนลึกแล้วก็พักมากขึ้นเรื่อยๆ.
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
น้ำมันนวด เพิ่มขึ้นและรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อของคุณ. นวดตัวที่มีประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งผอง, เยื่อแล้วก็ข้อต่อจึงปรับปรุงแก้ไขการแสดงกีฬาและการดูแลเกี่ยวกับด้านความสะดวกในการเคลื่อนไหวร่างกายของคุณง่ายมากยิ่งขึ้น. นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้กำเนิดคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ, นวดยังช่วยคุ้มครองการเจ็บและก็เพิ่มความเร็วสำหรับในการหาย. นวดแผนโบราณยังเป็นวิธีที่ดีในการบรรเทาความเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อและรักษาร่างกายของคุณ พอดี แล้วก็มีความยืดหยุ่นเป็นเวลานาน.
กำจัดสารพิษ
ข้อเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการนวดน้ำมันซึ่งมันช่วยทำให้ร่างกายได้อย่างมีคุณภาพกำจัดสารพิษจากสิ่งมีชีวิตฉะนั้นการผลักดันและสนับสนุนร่างกายที่แข็งแรงขึ้น.
ช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทาน
บริการนวดน้ำมันนวดและโดยมากสร้างความเข้มแข็ง ระบบภูมิคุ้มกันและช่วยย่อยของกินดีขึ้น.
ศิลปะที่สวยสดงดงามของการนวดได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วยการนวดน้ำมันบางมาก. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณลักษณะรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อบริการด้านต่างๆในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ดีเยี่ยมที่สุดสำหรับสิ่งที่มีความต้องการเฉพาะบุคคลของคุณและบรรเทาร่างกายของคุณด้วยการนวดบรรเทาแล้วก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลทางจิตวิญญาณของคุณและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.
โรคนี้จะไม่สามารถที่จะหายไปได้เอง!
น้ำมันนวด โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่อาจจะหายสนิทได้เอง แม้อาการที่แสดงออกมาจะร้ายแรงน้อยลงก็ตาม แล้วก็สุดท้ายก็จะเปลี่ยนเป็นโรคเรื้อรังรวมทั้งก่อเกิดความยากลำบากสำหรับเพื่อการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยปัญหาเกี่ยวกับข้อที่มีอยู่ก็จะแผ่ขยายไปจนกระทั่งทำให้มีเพียงแต่การผ่าตัดแค่นั้นที่จะเป็นทางออกเดียวที่ช่วยได้
ในบางกรณีที่เป็นร้ายแรงมากมายจะต้องเปลี่ยนแปลงข้อต่อทั้งหมดด้วย
ความเจ็บปวดมีเพียงแค่จะเยอะขึ้น
การผ่าตัดสามารถเลี่ยงได้
ฟื้นฟูข้อต่อของคุณให้เร็วทันใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาที่โรคยังไม่ได้ขยายเหลือเกินนัก
  หมอพื้นบ้านหรือการแพทย์แผนไทย สารภาพในสรรพคุณอันดีเลิศของยาแผนโบราณตามตำรายาสมุนไพร ตำรับโบราณวัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุๆพนสะอาดมังคลาราม ซึ่งเป็นยาสมุนไพรแผนโบราณขนานเอกที่โด่งดังมีชื่อเสียงและก็ได้รับความไว้วางใจสำหรับการรักษาโรคมาเนิ่นนานแล้ว สมกับคำที่กล่าวไว้ว่า "นวดแผนโบราณ ยาแผนโบราณ ตำราเรียนยาสมุนไพร ต้องวัดโพธิ์ ความคิดของคนไทยทั้งชาติของบรรพบุรุษไทย"

11

มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะคลำ (โคราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
บ้านเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในตอนนี้ แล้วต่อจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ในแถบประเทศอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียและก็ประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นเกิดเริ่มแรกอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และก็มีชื่อเสียงดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่เอ่ยถึงมะขามอยู่หลายแห่ง เช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้ผู้ใดสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายประเภทเข้ามาสู่ประเทศไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกเหนือจากนั้นมะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ดังนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงคงทน แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากมาย ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ตำราพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไปเสกใบมะขามได้เปรียบแตน”
มีชาวสุพรรณฯ ไม่น้อยเลยทีเดียวเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมากมาย แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.มัธยม มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.มัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางทีก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบ 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบสีแดงเข้ม ขอบกลีบดอกไม้มีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมาก ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 ซ.มัธยม กว้าง 2 ซ.มัธยม เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบวาว ออกดอกในตอนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบันนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายมากยิ่งขึ้น ก็เลยนิยมปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการทำหมัน และการเสียบยอดเป็นหลัก เพราะว่าสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก ทั้งยัง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดแจง และการเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง ตระเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และก็ต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อจากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนจะกระทำขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นจำพวกที่ได้จากการทำหมัน หรือการเพาะเมล็ด ควรเลือกขนาดต้นพันธุ์ที่สูงราวๆ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นประเภทลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียก ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะกระทำให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้น้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยถ้าเกิดเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราวๆ ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกครั้งหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งไปกว่านี้มะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น ดังเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเซียอาคเนย์ และก็แอฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะขามเยอะมากๆ
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลพื้นฐานเม็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ได้แก่ โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์มองส่วนประกอบหลักๆพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเมล็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) แล้วก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบหมายถึงสิสเทอีนและก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกนั้นเปลือกเม็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีรายงานว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นค่ะเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และก็ในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามประเภทอื่นๆมีเม็ดสีชนิดแอนทอลแซนติเตียนน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนติเตียนนนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และในเปลือกเม็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) ฯลฯ
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มก. Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม


ผลดี/สรรพคุณ ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมะขามสิ่งแรกที่พวกเรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากคือใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานสดๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมากมาย ใช้เข้าครัวไทยที่ต้องการรสเปรี้ยว ได้แก่ แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สำหรับการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ดังเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และก็น้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ดังนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็นำมาปรุงอาหารได้เช่นเดียวกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์ดัดแปลงได้อีกหลายอย่าง อย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , แล้วก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็ยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกเป็นต้นว่า แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เพราะว่ามีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร นอกจากยังหาง่ายอละทนอีกด้วย เว้นแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ ถ้าหากเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง เป็นต้นว่า คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง เอามาเพาะให้ผลิออกก่อน (เสมือนถั่วงอก) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปเข้าครัว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ ยิ่งกว่านั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับคุณประโยชน์ทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการเบื่ออาหารและก็อาหารไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดระดับความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ของกินไม่ย่อยและปัสสาวะทุกข์ยากลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ และก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเน่าเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต นำมาต้มผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องร่วง , รักษาแผล เนื้อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่หากเอาไปต้มกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากดื่มน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  รวมทั้งเป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกเสมอๆ แก้พิษเหล้า ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ ไม่สบายรวมทั้งท้องเดิน เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยสำหรับการรักษาแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อหุ้มเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องขึ้นแน่น อาหารไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนเป็นขี้เถ้าขาว กินทีละ 60-120 มก. และยังใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากกลั้วคอ แก้คอเจ็บรวมทั้งปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดกินทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำได้ 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือบางส่วน แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเสีย ท้องเสีย ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลแดงวาว 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเมล็ด กินครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียและก็อ้วกรวมทั้งใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือกระทั่งนิ่ม แล้วกินครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและก็การบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และอาการอักเสบต่างๆดังเช่น เป็นไข้ ของกินไม่ย่อย อาการผิดปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเดิน รวมทั้งใช้แก้ลมแดดเจริญ ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม เตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการเบื่ออาหาร (ความสามารถของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและการบูร ช่วยเพิ่มรส) และก็ในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มห่อเมล็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาติเตียนสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากกลั้วคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดวัน มะขามเปียกและดินสอพองผสมกระทั่งเหมาะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับผ่องใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและก็นมสด ใช้พอกผิว ช่วยทำให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่กระจ่าง ในตอนที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาข้างต้นต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนแล้วก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. และก็สารสกัดน้ำ ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli แล้วก็ Salmonella typhi แม้กระนั้นสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงแล้วอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบกินพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับการบริโภคในไก่หมายถึง100 มิลลิกรัมต่อกิโล โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) แล้วก็ลดสภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็ดีการเรียนอีกฉบับกล่าวว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเมล็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่ได้กล่าวมาแล้วเจอผลเสียคือ ดื่มน้ำเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาวิจัยชี้แนะว่าเป็นผลมาจากโพลีแซคค้างไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้และเพศเมียที่ทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศภรรยาที่กินอาหารผสมดังที่กล่าวถึงมาแล้วขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักลดลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 รวมทั้ง 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และ total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในตอน 2 อาทิตย์หลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางเลือดวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศเมียรวมทั้งเพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 และ 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติปฏิบัติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางวิชาชีวเคมีในปัสสาวะรวมทั้งเลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF กินอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้พอๆกับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน และก็ในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่สารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กิโลกรัม ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สำหรับการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรจะเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อโรครา ด้วยเหตุว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากจนเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องร่วง ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับเพื่อการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแต่พอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีมีผลการค้นคว้าที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้มะขามมาลดหุ่น
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเทพวิมลโมลี.  ตำรายากลางบ้าน.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์มงกุฏราช

12

งาขาว
ชื่อสมุนไพร งาขาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น นีโซไอยู่มั้ว (จีน) ซะแปะ ซะเจี่ย (เมื่อน)
ชื่อสามัญ Sesame seeds (white)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Sesamum  orientale Linn.
ตระกูล PEDALIACEAE
บ้านเกิด
งาขาวมีถิ่นเกิดเช่นเดียวกันกับ งาดำเป็นงาขาวเป็นไม้ล้มลุกที่มีมาแต่ว่าโบราณ มีแหล่งเกิดในแถบประเทศเอธิโอเปีย ถัดมาก็ถูกนำเข้าไปยังอินเดีย จีน รวมทั้งแถบแอฟริกาเหนือแล้วก็เอเชียใต้ ในราวโดยประมาณ 2000 ปี ก่อนคริศตกาลรวมทั้งในศตวรรษที่ 17 ได้ถูกนำเข้าไปในทวีปอเมริกาส่วนในประเทศไทย งา ก็มีชื่อเสียงกันมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งนำมาใช้ผลดีได้อีกทั้งทางยา ของกิน แล้วก็เครื่องแต่งตัว
ลักษณะทั่วไป
งาขาว เป็นไม้ล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรงถึงยอด สูงโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นไม่แตกกิ่งกิ้งก้าน แต่ว่าบางประเภทอาจมีการแตกกิ่งกิ้งก้าน ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ เป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้นๆปกคลุมหนา ลำต้นมีร่องยาวตามความสูงของลำต้น เปลือกลำต้นบาง สีเขียวเข้มหรือมีสีอมม่วง สามารถดึงลอกเป็นเส้นได้
ใบงาขาว ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามกันตามความสูงของลำต้น มีก้านใบทรงกลมสีเขียวหรือสีม่วงแดง ยาวโดยประมาณ 5 เซนติเมตร ส่วนแผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปหอกยาว กว้างราวๆ 3-5 เซนติเมตร ยาวราว 8-15 ซม. โคนใบมน เป็นฐานกว้าง และก็ค่อยเรียวลงจนกระทั่งปลายใบแหลม แผ่นใบมีสีเขียวสด มีร่องตามเส้นกิ่งก้านสาขาใบ ขอบของใบเรียบหรือเป็นหยัก
ดอกงาขาวเป็นดอกผู้เดียวหรือเป็นกลุ่มรอบๆซอกใบ 1-3 ดอก มีก้านดอกสั้น ราวๆ 3-5 มม. ถัดมาเป็นกลีบรองดอกสีเขียว จำนวน 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันหุ้มฐานดอก ถัดมาเป็นกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นกรวยยาว กลีบดอกไม้อ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่หรือบานจะมีสีขาว ยาวเป็นทรงกรวย ประมาณ 4-5 ซม. ปลายกลีบแขวนลงดิน แล้วก็แยกออกเป็น 2 กลีบ คือ กลีบข้างล่างที่ยาวกว่า แล้วก็กลีบบนที่มีปลายหยักเป็น 3 แฉก ถัดมาด้านในดอกจะมีสีกลีบดอกข้างในเป็นสีเหลือง มีเกสรตัวผู้ 4 อัน แบ่งเป็น 2 คู่ แต่งละคู่ยาวไม่เท่ากันส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน ยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรแยกออกเป็น 2-4 แฉก ทั้งนี้ ดอกงาขาวจะเริ่มบานในตอนเวลาเช้า และกลีบดอกจะหล่นลงดินในช่วงเวลาเย็น
ผลของงาขาวเรียกว่า ฝัก ฝักอ่อนมีลักษณะทรงกระบอกค่อนข้างกลม ปลายฝักเป็นจะงอยแหลม เมื่อฝักใหญ่จะแบ่งเป็นร่องๆตามความยาวของฝัก ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักหนา มีสีเขียว และมีขนปกคลุม เมื่อฝักแก่เปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา รวมทั้งปริแตก ทำให้เม็ดหล่นลงดิน  ข้างในฝักมีเม็ดขนาดเล็กสีขาวเป็นจำนวนมาก เรียงซ้อนแยกกันในแต่ละร่องพู เมล็ดมีรูปไข่ เปลือกเม็ดบางมีสีขาว มีกลิ่นหอมยวนใจ ใน 1 ฝัก จะมีเม็ดราวๆ 70-100 เม็ด
การขยายพันธุ์
                งาขาว ที่ปลูกกันทั่วๆไปมี 6 ประเภท เป็นต้นว่า

  • ชนิดเมืองเลย ปลูกมากที่จังหวัดเลยรวมทั้งรอบๆชายแดนไทย-ลาว และก็ช่วงจังหวัดเลยถึงอุตรดิตถ์
  • ประเภทจังหวัดเชียงใหม่ ปลูกมากมายที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนรวมทั้งเชียงใหม่
  • ชนิดชัยบาดาลหรือสมอทอด ปลูกมากมายที่จังหวัดเพชรบูรณ์แล้วก็จังหวัดลพบุรี แต่เดี๋ยวนี้มีปริมาณน้อยมาก
  • ชนิดร้อยเอ็ด.1
  • จำพวกมข.1
  • ประเภทมหาสารคาม 60 มีเขตเกื้อหนุนการปลูก อย่างเช่น จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก รวมทั้งกาญจนบุรี


งาเป็นพืชเขตร้อนถูกใจอาการร้อนรวมทั้งแดดจ้า อุณหภูมิที่สมควรต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 27-30 องศาเซลเซียส เกลียดอากาศหนาวเย็น ถ้าเกิดอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส การงอกจะช้าลง หรือ บางทีก็อาจจะหยุดชะงักการเติบโต แต่ถ้าหากอุณหภูมิสูงยิ่งกว่า 40 องศาเซลเซียสจะทำให้การผสมเกสรติดยากการสร้างฝักเป็นได้ช้า
   ฤดูปลูก

  • ต้นหน้าฝน เริ่มปลูกตั้งแต่ก.พ.-ม.ย. และก็เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ปลายเดือน เดือนเมษายน-มิถุนายน ส่วนใหญ่จะปลูกภายในพื้นที่นาก่อนการปลูกข้าว มีพื้นที่ปลูกราวร้อยละ 70 ของพื้นที่ปลูกงาทั่วประเทศ แหล่งปลูกงาต้นหน้าฝนเป็นต้นว่า จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ บุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดโคราช จังหวัดสระบุรี ลพบุรี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย ลำพูน น่าน และสุราษฏร์ธานี
  • ปลายฤดูฝน เริ่มปลูกตั้งแต่ก.ค.-สิงหาคม และก็เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่สิ้นเดือน พ.ย.-ธ.ค. โดยมากจะปลูกไว้ในภาวะพื้นที่ไร่หรือที่ดอน ปลูกข้างหลังการเก็บเกี่ยวพืชไร่ มีพื้นที่ปลูกโดยประมาณจำนวนร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกงาทั้งประเทศ แหล่งปลูกงาปลายฤดูฝนที่สำคัญ อย่างเช่น จังหวัด กาญจนบุรี พิษณุโลก สุพรรณ จังหวัดเพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ รวมทั้งเลย
ส่วนการปลูกงาขาวนั้นสามารถทำเป็นดังนี้

  • การเตรียมดิน การเตรียมดินเป็นต้นเหตุที่สำคัญสำหรับในการปลูกงาเนื่องมาจากเมล็ดงามีขนาดเล็ก จะต้องมีการเตรียมดินให้ร่วนซุย จะช่วยให้งาผลิออกได้ดิบได้ดีรวมทั้งมีความสม่ำเสมอ การไถกระพรวนจะมากมายหรือน้อยครั้งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและก็ชนิดของเนื้อดิน หากเป็นดินร่วนทรายจะไถ 1-2 ครั้ง ส่วนดินเหนียวต้องไถมากครั้งกว่าดินร่วนซุยโดยไถ 2-3 ครั้ง เพื่อย่อยดินอย่างรอบคอบจะให้ผลผลิตสูงขึ้นมากยิ่งกว่าไถเพียงแค่ครั้งเดียว
  • แนวทางปลูก การปลูกงาขาวมีอยู่ 2 แนวทางคือ
  • การปลูกแบบหว่าน เกษตรกรโดยมากนิยมนำมาปลูกงาด้วยแนวทางลักษณะนี้ โดยภายหลังจากตระเตรียมดินก็ดีแล้ว จะใช้เมล็ดงาหว่านให้กระจายสม่ำเสมอ อัตราเมล็ดพันธุ์ 1-2 โล/ไร่
  • การปลูกแบบโรยเป็นแถว สำหรับการทำร่องสำหรับโรยเมล็ด โดยมากใช้คราดกาแถว ระยะระหว่างแถว 50 ซม. อัตราเมล็ดพันธุ์ 2-3 กก./ไร่ การปลูกเป็นแนวจะได้ผลผลิตสูงยิ่งกว่าการปลูกแบบหว่าน
  • การใส่ปุ๋ย ดินปนทรายหรือดินร่วนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 20-30 โล/ไร่ ดินร่วมปนดินเหนียว ใช้ปุ๋ยสูตร 20-20-0 ในอัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่
  • การดูแลและรักษา การปลูกงาขาวไม่ได้อยากต้องการดูแลเท่าไรนัก หลังการโปรยเม็ดแล้วเกษตรกรจะปล่อยให้งาเติบโตตามธรรมชาติ แต่มั่นตรวจสอบแปลงเป็นระยะ หากพบโรคหรือแมลงระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดศัตรูพืช ส่วนการปลูกไว้ในฤดูแล้งหรือพื้นที่ค่อนข้างจะแห้งอาจมีการให้น้ำเป็นระยะ
  • การเก็บเกี่ยวผลผลิต งาขาวแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 70-120 วัน ข้างหลังปลูก ขึ้นกับสายพันธุ์ และก็เริ่มเก็บฝักได้ในระยะฝักแก่สีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ใบมีสีเหลือง รวมทั้งหลุดล่วงใกล้หมด และก็เก็บในระยะที่เปลือกฝักยังไม่ปริแตก การเก็บเกี่ยวงาขาวจะใช้แนวทางถอนต้น ก่อนเด็ดฝักแยกออกจากลำต้น แล้วตีให้ฝักแตกกันเม็ดงาออก ซึ่งอาจใช้ไม้ตีหรือใช้เครื่องตีแยกฝัก


องค์ประกอบทางเคมี เม็ดงาขาวประกอบด้วยน้ำมัน 44-58% โปรตีน 18-25% ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกันกับถั่วเหลืองคาร์โบไฮเดรตราว 13.5% และเถ้า 5% (Borchani et al.,2010) น้ำมันงาโดยประมาณ 50% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงลำพัง 35% และก็อีก 44% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ระหว่างที่ 45% ของกากงาประกอบด้วยโปรตีน 20% (Ghandi, 2009) ส่วนส่วนประกอบทางเคมีที่มีในเม็ดงาขาวนั้นก็มีเหมือนกันกับงาดำ อย่างเช่น กรดไขมันตัวอย่างเช่น oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, สารกลุ่ม lignan, ชื่อ sesamol, d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆดังเช่นว่า sitosterol  ส่วนค่าทางโภชนาการของงาขาวมีดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการงาขาว (งาขาวดิบ 100 กรัม)
                งาขาวดิบ             
น้ำ                           3.9          กรัม
พลังงาน                 658         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.9        กรัม
ไขมัน                       57.1        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        15.0        กรัม
ใยอาหาร                                4.6          กรัม
ขี้เถ้า                           3.1          กรัม
แคลเซียม                               86           มิลลิกรัม
เหล็ก                       7.4          มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส                              650         มก.
เบต้า แคโรทีน                        0              มิลลิกรัม
ไทอะมีน                 1.08        มก.
ไรโบฟลาวิน                           0.11        มก.
ไนอะซีน                  3.3          มก.
 
ประโยชน์/สรรพคุณ
งาขาวใช้เป็นส่วนผสมของอาหารหวาน เช่น กระยาสาดข้าวเหนียวแดง หรือใช้ตกแต่งขนมปังหรือของหวานต่างๆรวมไปถึงใช้สกัดน้ำมันงาสำหรับใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆตัวอย่างเช่น ใช้สำหรับทำกับข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกินชนิดทอดต่างๆ ใช้เป็นองค์ประกอบของอาหารเสริม  ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ดังเช่น โลชั่นดูแลผิว น้ำหอม สบู่ ฯลฯ ใช้ในอุตสาหกรรมยา และก็ของกิน อย่างเช่น ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับในการผลิตช็อกโกแลต การผลิตเนยเทียม ฯลฯ  ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์  ใช้ทารักษาแผล  ใช้ชโลมผม ช่วยให้ผมมันวาววับ ใช้ทารักษาโรผิวหนัง ผื่นผื่นคัน มีการทำการวิจัยในงาขาวพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองและก็ใช่แล้วพบว่า มีไขมันสูงยิ่งกว่าถั่วเหลืองราว 3 เท่า และก็สูงขึ้นยิ่งกว่าไข่ ประมาณ 4-6 เท่า มีโปรตีนสูงขึ้นยิ่งกว่าไข่ราว 5% แต่ต่ำยิ่งกว่าถั่วเหลืองราว 2 เท่า นอกจากนี้โปรตีนในงาขาวยังต่างจากพืชตระกูลถั่วและพืชให้น้ำมันอื่นๆเนื่องจากมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต้องซึ่งพืชดังที่กล่าวมาแล้วขาดแคลน เช่น การบูชายัญไธโอนินรวมทั้งซีสตำหนิน แต่งาขาวมีไลซีนต่ำ ด้วยเหตุผลดังกล่าวบางทีอาจใช้งาเป็นอาหารเสริมพวกอาหารถั่วต่างๆเมื่อใช้เป็นของกิน หรือใช้เสริมโปรตีนที่มาจากสัตว์ซึ่งราคาแพงแพง นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้เสริมอาหารพวกเมล็ดพืช กล้วย และอาหารแป้งอื่นๆได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนั้นเมล็ดงาขาวยังประกอบไปด้วย เกลือแร่ 4.1 – 6.5 % ที่สำคัญคือ เหล็ก ไอโอดีน สังกะสี เซเลเนียม แคลเซียม รวมทั้งธาตุฟอสฟอรัส โดยจะมีแคลเซียมมากกว่าพืชทั่วไปประมาณ 20 เท่า ส่วนสรรพคุณทางยาของงาขาวนั้น ตำราเรียนยาไทยบอกว่า งาขาวมีรสฝาด หวาน ขม ทำให้น้ำดี กำเริบ น้ำมันใช้หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผลเจริญ การหุงน้ำมันจำต้องใช้งาสดตำคั้นเอาน้ำ โดยใช้น้ำคั้นใบและเถาตำลึง บอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย  ไพล เอาน้ำมาอย่างละ 1 ถ้วย แล้วใส่น้ำมันงาลงไป 1 ถ้วย ตั้งไฟเคี่ยวไปกระทั่งเหลือ 1 ถ้วย เอาน้ำมันที่ได้ปรุงด้วยสีเสียดเทศและไทยสิ่งละนิดหน่อย หลอมตะกั่วนมให้ละลายเทลงในน้ำมัน แล้วเอาขึ้นหลอมอีกจนได้ 3 ครั้ง ทิ้งตะกั่วเอาไว้ในนั้น ใช้น้ำมันใส่แผลจะช่วยสมานแผลเจริญมากมาย
 ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของงาขาวนั้น ตำราเรียนยาไทยระบุว่า สารเซซามินในเม็ดงาขาวสามารถลดระดับ LDL-cholesterol ในกระแสโลหิตของคน (ซึ่ง LDL-cholesterol เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรค Athersclerosis (ไขมันตันในเส้นโลหิต)  ทุเลาอาการโรคคิดสีดวงทวาร (Hemmorhoids) ได้ โดยกรดไขมันในน้ำมันงา ตัวอย่างเช่น Linoleic acid , oleic acid , palmatic acid , stearic acid , สามารถทุเลาลักษณะของโรคริดสีดวงทวารได้
ดังนี้มีการทำการศึกษาน้ำมันงาพบว่าน้ำมันงาเป็นแหล่งของสารอาหาร ดังเช่นว่า กรดไขมันโอเมก้า 6 ฟลาโวนอยด์ ฟลีนอลิค สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและก็เส้นใย ซึ่งมีความหมายสำหรับในการต้านมะเร็ง และก็เกื้อหนุนสุขภาพ
รูปแบบ/ขนาดการใช้ เหมือนกันกับงาดำ เป็นสำหรับในการนำงาขาวมาใช้ประโยชน์โดยมากจะใช้ประโยชน์ผลดีด้านของกินรวมทั้งสินค้าเสริมความสวยสดงดงามมากกว่าด้านการดูแลรักษาโรคแต่ก็มีการเอาไปใช้ตามตำรายาไทยอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น

  • แก้ฉี่หรืออุจจาระขัด นำเม็ดงา 20 – 30 กรัม หรือ 1 – 2 ช้อน ต้มแล้วนำน้ำมาดื่มในขณะท้องว่าง
  • ความดันเลือดสูง เม็ดงาขาว น้ำส้ม  ซีอิ้ว แล้วก็น้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนจะกว่าจะเข้ากันดี ต้มด้วยไฟอ่อนๆจนสุก รับประทานวันละ 3 ครั้งเสมอๆ
  • ทุเลาอาการไอแห้ง ไม่มีเสลด ให้นำเมล็ดงา 3 – 5 ช้อน ตำบดให้ถี่ถ้วน ก่อนผสมกับน้ำตาล 2 ช้อน กิน หรือ นำผงเม็ดงาชงน้ำร้อน และก็เดิมน้ำตาลดื่ม
  • บำรุงสมอง ตำราเรียนอายุรเวทให้ใช้งาผง 1 ส่วน ผงมะขามป้อม 1 ส่วน และก็น้ำผึ้ง 1 – 2 ช้อนชา เคล้าให้เหมาะ ปั้นเป็นลูกกลอนกิน
  • ยาอายุวัฒนะ (ประเทศญี่ปุ่น) ใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง ชงด้วยน้ำร้อน เพิ่มเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขับพยาธิเข็มหมุด เมล็ดงาขาว 50 กรัม เพิ่มน้ำต้นจนได้น้ำข้นๆกรองเอาส่วนน้ำมาปรุงด้วยน้ำตาล ดื่มขณะท้องว่างครั้งเดียวให้หมด
  • เจ็บคอ คัดจมูก แพ้อากาศ ปวดระดู นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ รับประทานงับด 1 ข้อนชาก่อนนอน
การเรียนทางเภสัชวิทยา การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของงาขาวนั้นโดยมากเป็นการศึกษาเล่าเรียนควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเรียนรวมกันงาขาว งาดำ) ด้วยเหตุนั้นผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาของงาขาวจึงราวกับงาดำ (ดูการศึกษาทางเภสัชของงาดำ) แม้กระนั้นนักเขียนสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของงามาเพิ่มได้อีก 2 ฉบับ คือ
                การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ลดความเป็นพิษจากนิโคตินของสารลิกแนนจากงาในหนูแรทผิวเผือกเพศผู้ที่ได้รับพิษจากนิโคติน โดยการฉีดนิโคตินทีละ 3.5 มก./กก.น้ำหนักตัว เข้าใต้ผิวหนัง ติดต่อกัน 15 วัน ร่วมกับการป้อนของกินที่มีส่วนผสมของสารลิกแนนจากงา ขนาด 0.1 หรือ 0.2 ก.ต่ออาหาร 100 กรัม ผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยลดจำนวนคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ Low Density Lipoprotein cholesterol แล้วก็ Very Low Density Lipoprotein cholesterol ช่วยเพิ่มปริมาณ High Density Lipoprotein cholesterol และเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งลดความเข้มข้นของผลผลิตจากการเกิดการเพอรอคอยกซิเดชั่นของไขมันที่เพิ่มขึ้นเพราะพิษของนิโคติน นอกนั้นยังพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยเพิ่มปริมาณ DNA แล้วก็คุ้มครองปกป้องไม่ให้ DNA ในเยื่อตับถูกทำลายด้วยนิโคตินได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง แสดงให้เห็นว่าสารลิกแนนจากงาสามารถทุเลาความเป็นพิษของนิโคตินต่อการเกิดออกซิเดชั่นและก็ความเป็นพิษต่อสารพัดธุกรรมในร่างกายได้ แล้วก็การศึกษาทางคลินิกเรื่องฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดระดับความดันโลหิตสูง ผู้เจ็บป่วยชายรวมทั้งหญิงที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงระดับน้อยถึงปานกลาง คือมีค่าความดันโลหิตตัวบน ≥ 140 มม.ปรอท แล้วก็ค่าความดันโลหิตตัวล่าง ≥ 90 มม.ปรอท อายุ 35 – 60 ปี จำนวน 50 คน ได้รับยาเพื่อการดูแลและรักษาเป็นยาขับฉี่ hydrochlorothiazide หรือ β-blocker atenolol มานาน 1 ปีกลายเข้าร่วมการเรียนรู้ แล้วก็ยังคงได้รับยานี้ตามธรรมดาตลอดการเรียนนี้ ผู้ป่วยจะได้รับน้ำมันงาเพื่อใช้สำหรับการประกอบอาหารในครอบครัว 4 – 5 กก. ต่อสมาชิกในครอบครัว 4 คน ต่อเดือน (โดยประมาณ 35 ก./วัน/คน) รวมทั้งต้องใช้เฉพาะน้ำมันงาเพียงแค่ประเภทเดียวตลอด 45 วัน แล้วต่อจากนั้นหยุดเปลืองน้ำมันงา ให้แปลงมาใช้น้ำมันที่เคยใช้อยู่เดิมอีก 45 วัน ทำตรวจร่างกาย ความดันโลหิต น้ำหนักตัว, Body mass index (BMI), ระดับไขมัน อิเลคโตรไลท์ และก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในเลือด ก่อนการศึกษาเล่าเรียน ภายหลังกินน้ำมันงา 45 วัน แล้วก็ภายหลังหยุดเปลืองน้ำมันงา 45 วัน พบว่า การใช้น้ำมันงาแทนที่น้ำมันประเภทอื่นสำหรับเพื่อการทำครัวในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ทำให้ค่าความดันโลหิตตัวบนและตัวข้างล่างกลับลงสู่ระดับปกติ น้ำหนักร่างกาย แล้วก็ BMI น้อยลง แต่ภายหลังหยุดใช้น้ำมันงานค่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วกลับสูงมากขึ้น ระดับคอเลสเตอรอล, high density lipoprotein cholesterol รวมทั้ง low density lipoprotein cholesterol ในเลือดไม่ได้แตกต่างกันเมื่อประเมินผลทั้ง 3 ขณะที่ศึกษาเล่าเรียน นอกจากระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดต่ำลงเมื่อใช้น้ำมันงา รวมทั้งกลับสูงขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา ระดับโซเดียมในเลือดลดลงเมื่อใช้น้ำมันงารวมทั้งกลับสูงขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา   ระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงารวมทั้งต่ำลงสู่ค่าธรรมดาเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา การเกิด lipid peroxidation ลดลงเมื่อใช้น้ำมันงาและก็ค่ายังคงที่ภายหลังที่หยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี catalase และก็ superoxide dismutase ในเลือดสูงมากขึ้น และก็ glutathione peroxidase ในเลือดน้อยลง เมื่อใช้น้ำมันงาและค่ายังคงที่ภายหลังจากหยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับวิตามินซี วิตามินอี เบต้า-ค้างโรทีน แล้วก็ reduced glutathione สูงมากขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงาและน้อยลงภายหลังจากหยุดใช้น้ำมันงา จากการศึกษาเล่าเรียนแปลว่าน้ำมันงาสามารถช่วยลดระดับความดันเลือด ลดการเกิด lipid peroxidation และก็เพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในคนป่วยความดันโลหิตสูงร่วมกับยาขับปัสสาวะได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การเรียนทางพิษวิทยาของงาขาวเป็นการเล่าเรียนควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเล่าเรียนรวมกันทั้งยังงาขาว งาดำ) โดยเหตุนี้ผลการศึกษาเรียนรู้ทางพิษวิทยาของงาขาวจึงเหมือนกับงาดำ (ดูการเรียนทางพิษวิทยาของ งาดำ)
 
อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • สำหรับในการรับประทานงาขาวในบางรายอาจมีอาการแพ้ได้ เนื่องด้วยมีสาร Sesamol ซึ่งจะก่อให้กำเนิดอาการต่างๆดังเช่นว่า ลมพิษ คันจมูก หายใจติดขัด กลีบตาและก็ริมฝีปากบวมแดง
  • การรับประทานงาขาวอาจจะส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำเกินความจำเป็นได้ในผุ้ทีมีความดันเลือดต่ำ
  • ถ้าเกิดรับประทานงาขาวมากจนถึงเหลือเกินอาจทำให้เกิดการระบายท้องมากเกินความจำเป็นจนถึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องเดินได้
  • แบบเรียนจีน ห้ามใช้งานในผู้ที่ท้องเดินเรื้อรัง เสื่อมความสามารถทางเพศ มีตกขาว หรือ หากจะใช้ควรใช้ในขนาดน้อย การใช้เกิน 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน อาจจะก่อให้ท้องเสียได้
  • แบบเรียนอายุรเวท กล่าวว่า งา เป็นยาขับระดู การใช้ในสตรีตั้งครรภ์ระยะต้น (1-3 เดือน) ในขนาดที่มากจนเกินไป อาจจะทำให้แท้งได้
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์  พิเชียรสุนทร , แม้นมาส  ชวลิต และ วิเชียร จีรวงส์ 2542. คำอธิบาย ตำราพระโอสถ พรนารายณ์ สำนักพิมพ์ อมรินทร์ กุมภาพันธ์ 2548
  • มนตรา ศรีษะแย้ม , นาถธิดา วีระปรียากูร , พนมพร ศรีบัวรินทร์.ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นในหลอดทดลองของเมล็ด งา ขาว ดำ และ แดง .วารสารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่ 10 .ฉบับที่ 2.พฤษภาคม – สิงหาคม 2557.หน้า 136-146
  • ปราณี รัตนสุวรรณ . งา ...ธัญพืชเมล็ดจิ๋วดินทรงคุณค่า.ภาควิชาเภสัชงาขาวและเภสัชพฤกษศาสตร์.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • กรมวิชาการเกษตร.2549.รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาด้านพืชและเทคโนโลยีการเกษตร รอบ 12 เดือน.วันที่ 20 – 24 พฤศจิกายน 2549.
  • งาขาว สรรพคุณ และการปลูกงาขาว.พืชเกษตรดอทคอม.เว็บเพื่อเกษตรกรไทยนันทวัน บุณยะประภัศร (บรรณาธิการ) 2539.สมุนไพรพื้นบ้าน(1) คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/
  • ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย.2544
  • Bowden, Jonny. The 150 Healthiest foods on earth: The surprising, unbiased truth about what you should eat and why (PAP/COM). Fair Winds Pr,2007:309-310
  • สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ปีที่ 2 ฉบับที่ 23 ประจำเดือน กันยายน 2545 บริษัท สำนักพิมพ์ยูทิไลซ์ จำกัด
  • สารลิกแนน จากงาช่วยลดพิษของนิโคติน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • งา,ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดความดันโลหิตสูง.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.



Tags : งาขาว

13

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ เวลานี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากมายก่ายกองตามตลาด มีทั้งๆที่ผลิตในไทยแล้วก็นำเข้าจากต่างถิ่น ถ้าเกิดเพื่อนๆต้องการเลือกซื้อ จะต้องดูให้ดี ว่าสินค้าตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าไว้วางใจหรือไม่ มีการรับประกันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือไม่ รวมทั้งสินค้าซึ่งสามารถกันความชื้นเจริญหรือป่าวประกาศ
คุณประโยชน์สมุนไพร เห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยยืนยัน....มีอะไรบ้าง
มีความเชื่อกันมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณแจ่มใส ช่วยให้แก่ช้าลง ความจำดียิ่งขึ้น และก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างแพร่หลายเช่นกัน ดังเช่นว่า แก้ตับแข็ง รักษามะเร็ง รักษาโรคความดัน และภูมิแพ้ฯลฯ
แต่ว่าทีเด็ดคือ......
มีงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]รักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับการทดสอบเล่าเรียนทางคลีนิครวมทั้งยืนยันว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังนี้จริง ไม่ใช่แค่ความศรัทธาอีกต่อไป อันอาทิเช่น
-กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
-ต้านเนื้องอกและโรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอนหลับ
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านทานอนุมูลอิสระ
-ต่อต้านการอักเสบ
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจมีผลดีต่อสุขภาพมาก พวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่บางประเภท เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ไต่อยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) แล้วก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และก็ลิวซีน (Leucine)ดังนั้น มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาประกอบอาหารและแปรรูปเพื่อการบริโภคอย่างหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์จึงมีความสนใจและนำเห็ดหลินจือมาทดสอบหาประสิทธิผลทางการรักษาและการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดประเภทนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีผลดีต่อร่างกายที่อาจเป็นได้จริงหรือ?
ถึงแม้มีการค้นคว้าทดสอบล้นหลามเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ว่าในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่แจ่มกระจ่างถึงคุณลักษณะและก็คุณค่าที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแม้กระนั้น ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือเครื่องพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่แจ่มชัดถึงคุณสมบัติแล้วก็ประสิทธิผลด้านใดๆเพราะฉะนั้น ลูกค้าควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณรวมทั้งกระบวนการบริโภคที่สมควร แล้วก็ข้อจำกัดต่างๆและก็เหตุทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนการบริโภค
เพิ่มความสามารถร่างกาย
สมุนไพร มีการทดสอบที่ทดลองสมรรถนะของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนเจ็บโรคปวดกล้ามไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)ผู้หญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ คนป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน แล้วก็เลยทดลองสมรรถภาพร่างกายของคนไข้ ผลการทดลองแล้วก็วางแผนรักษาผู้เจ็บป่วยโรคนี้ถัดไป แต่ว่ายังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่ชัดแจ้ง จำเป็นที่จะต้องมีการทำการค้นคว้าในด้าน เพื่อหาหลักฐานรวมทั้งสิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ที่ชัดแจ้งถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ธรรมดาในกระแสเลือดพวกเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากมายน้อยสุดแล้วแต่คนไป แม้กระนั้นถ้าในกระแสเลือดของพวกเรามีปริมาณไขมันมากเกินความจำเป็นนี่มีปัญหาแน่จ้ะ เรียกสภาวะนี้ว่า โรคไขมันในเส้นโลหิตสูง ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งจากอาหาร สภาพจิตใจ เห็ดหลินจือสิ่งแวดล้อม พันธุรวมทั้งอาจกำเนิดจาผลข้างเคียงของยาบางชนิดอีกด้วย(ไขมันที่เอ๋ยถึงเป็นไตรกลีเซอไรค์และก็คอลเรสเตอรอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถส่งผลให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอีก ดังเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด และก็เส้นโลหิตสมองตีบ ฯลฯ
เมื่อวิเคราะห์เทียบจากการรวบการวิจัยที่เรียนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าคนเจ็บสนองตอบต่อการดูแลรักษาด้วยเคมีบำบัดรักษาหรือรังสีบรรเทาก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นเมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในในการทำให้มะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
ยิ่งไปกว่านี้ สมุนไพร จาการทวนงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่ามีงานศึกษาวิจัย 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์ส่งเสริมว่าเห็ดหลินจืออาจชมรมต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ และในเวลาเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากการวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้และก็นอนไม่หดังนั้นควรต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงประสิทธิภาพของ สมุนไพร เห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อปกป้องรวมทั้งการดูแลและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจต่อไป รวมทั้งให้ได้เรื่องกระจ่างชัดดเจนในด้านดังกล่าวข้างต้นเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลดีต่อแนวทางการรักษาป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องถัดไปในอนาคต
จำนวนที่เหมาะสมสำหรับการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งกระจ่างแจ้ง เนื่องประสิทธิผลรวมทั้งผลข้างเคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุนี้ ผู้ซื้อ ควรศึกษาเรียนรู้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และหารือแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโรค เนื่องจากว่าหากแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบอย่างจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ว่าสารเคมีและส่วนประต่างอาจมีผลข้างๆที่เป็นอันตรายต่อสถาพทางร่างกายได้เช่นกันลับด้วย

14

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลอย่างไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลการค้นคว้ายืนยันสรรพคุณได้ในบทความนี้จ้ะ
สมุนไพร บทความเหล่านี้อ้างอิงสรรพคุณของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษายืนยันจากที่ต่างๆเพื่อสหายได้พินิจพิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคได้ดีขนาดไหนรวมทั้งน่าไว้ใจแค่ไหน หากสหายๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเยอะแค่ไหนหรือไม่เข้าใจ บทความในเว็บนี้นักเขียนได้คัดเลือกรวมทั้งเก็บรวบรวมจากหลายที่รวมทั้งเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อนพ้องๆถูกใจเนื้อหานี้ก็จะเป็นอันมากดวงใจให้นักเขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนฝูงอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนๆจะต้องถูกใจ
เห็ดหลินจือยั้งโรคมะเร็ง
ผลงานวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งมะเร็งไดรวมทั้งโดยไม่กระทบต่อเซลล์ธรรมดา สารดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมีอยู่มากที่สปอร์ที่กะเทาะฝาผนังห่อสปอร์แล้วนอกนี้ผลการวิจัยจากกรมความเจริญแพทย์แผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกลุ่ม Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้ม และสารกลุ่ม Triterpenes (เจอที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ เยอะที่สุด ) ซึ่งกลุ่มหลังสามารถยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังหุ้มห่อจะให้ผลดียิ่งกว่าแบบไม่กะเทาะมาก
แม้กระนั้นฤทธิ์ฆ่าเซลล์ของมะเร็งของโรคมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงแค่ผลของการทดลองในหลอดทดสอบเท่านั้น ในเวลานี้แผนกแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยเชียงใหม่กำลังวิจัยผลที่มีต่อคนป่วยโรคมะเร็วจริงๆและก็คาดว่าผลการค้นคว้านี้คงเผยให้เพื่อนฝูงๆได้ทราบกันในเร็วๆนี้จ้ะ แม้กระนั้นขณะนี้มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนจากเมืองจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิต้านทานได้จริงในคนไข้มะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด และก็คนป่วยที่เป็นมะเร็งขั้นขยาย โดยไม่เป็นผลข้างเคียงรวมทั้งสามารถใช้ได้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานได้โดยสวัสดิภาพ อย่างไรก็ตามในประเทศไทย การใช้เห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่ช่องทางหลักสำหรับในการรักษา เน้นย้ำเรื่องเสริมภูมิคุ้มกันมากยิ่งกว่า
ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากมายก่ายกองตามตลาด มีทั้งที่ผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าสหายๆต้องการเลือกซื้อ จะต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาแล้วก็แหล่งผลิตน่าไว้วางใจหรือไม่ มีการยืนยันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไหม รวมทั้งสินค้าซึ่งสามารถกันความชื้นได้ดีหรือป่าวร้อง
ชาวจีนรู้จักการใช้เห็ดหลินจือรักษาโรคหัวใจมาตั้งแต่สมัยราชวงค์หมิง เดี๋ยวนี้แพทย์แผนจีนก็ยังคงใช้เห็ดหลินจือการรักษาโรคหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะเหตุว่าหากไม่ดีจริงก็คงจะเลิกใช้กันไปนานแล้วใช่ไหม ก็เลยมีการทำการศึกษากันอย่างจริงๆจังมากไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับประเด็นนี้
ที่กรุงปักกิ่งได้มีการทดลองจริงกับผู้เจ็บป่วยที่มีอาการเจ็บอก จากเส้นเลือดหัวใจตีบ พบว่าภายหลังการให้กินเห็ดหลินจืออย่างตลอดตรงเวลา 3 เดือน ผุ้เจ็บป่วยที่เข้ารับการทดสอบ 90% มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการสังเกตร่วมร่วมกับการประมาณคลื่นหัวใจ ECG
เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์คนญี่ปุ่นกรุ๊ปหนึ่งได้เจอสารเคมีที่ช่วยลดระดับความดันเลือดในเห็ดหลินจือและพบสารยับยั้งการจับตัวกันจนเป็นก้อนของเลือดอีกด้วย จากการทดลองใช้เห็ดหลินจือกับผู้ป่วยโรคหัวใจโรงพยาบาล พบว่าสามารถลดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะได้จริง
นักวิทยาศาสตร์รัสเชียยืนยันอีกเสียงว่าเห็ดหลินจือช่วยเรื่องเลือดและก็หัวใจได้จริง แล้วก็พบว่าเห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่เยี่ยมที่สุดสำหรับโรคหัวใจ จากกลุ่มของตัวอย่างสมุนไพร 21 จำพวก ที่กรุ๊ปวิจัยได้เลือกหยิบมาศึกษาทดสอบ

สมุนไพร ปกติในกระแสโลหิตพวกเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากน้อยก็แล้วแต่คนไป แต่ว่าถ้าเกิดในกระแสเลือดของเรามีจำนวนไขมันมากจนเกินความจำเป็นนี่มีปัญหาแน่ค่ะ เรียกภาวะนี้ว่า โรคไขมันในเส้นเลืดสูง ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุจากหลายกรณี ทั้งจากของกิน สภาพจิตใจ สิ่งแวดล้อม พันธุรวมถึงอาจกำเนิดจาผลข้างเคียงของยาบางประเภทอีกด้วย(ไขมันที่เอ๋ยถึงเป็นไตรกลีเซอไรค์แล้วก็คอลเรสเตอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถทำให้มีการเกิดโรคภัยต่างๆตามมาอีก ดังเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด และก็เส้นโลหิตสมองตีบ เป็นต้น
นักค้นคว้าได้ศึกษาค้นพบสารหลายประเภทในเห็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดหมายถึงGanoderic Acid รวมทั้ง Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ชนิดที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว นอกเหนือจากช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังคุ้มครองไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นโลหิต และช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นโลหิตสูง 70 ราย และก็กระทำการเก็บผลการทดสอบภายหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าวัวเรสเตอรอลของผู้รับการทดสอบลดลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลจากการวิจัยจากทั้งโลก แล้วก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ นอกจากช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นโลหิตแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
การที่เห็ดหลินจือสามารถจัดการกับสภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงได้นั้น ได้รับการรับรองจากนักค้นคว้าทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน รัสเชีย และที่อื่นๆอีกทั้งโลกแล้วว่าได้ผลจริงละไม่ได้เป็นเพาระความเชื่ออีกต่อไป ท้ายที่สุดก็ขอฝากไว้ ภาวการณ์ไขมันในเส้นโลหิตสูงเป็นภาวะที่อันตรายด้วยเหตุว่าสามารถเป็นเหตุให้เกิดโรคน่ากลัวอื่นๆตามมาได้ โดยเหตุนั้นหากเพื่อนฝูงๆตรวจเลือดแล้วพบภาวการณ์นี้ก็ควรรีบจัดแจงตั้งแต่เนิ่นๆไว้กิ่นจะดีมากกว่า

15

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของพวกเรามีจุดเริ่มขึ้นจากความต้องการหาสมุนไพรคุณภาพสูงจากในหลายประเทศ กระทั่งพวกเราเจอแล้วก็มีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน แล้วก็ได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้ก่อตั้ง แล้วก็เป็นผู้นำในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูง ประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคุณของพวกเรา สปอร์เห็ดหลินจือของเรา จะถูกคัดสรรอย่างดีก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่เรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยแนวทางพิถีพิถัน ทำให้ได้ตัวดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
พวกเราใส่ใจรวมทั้งสำรวจคุณภาพในทุกกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิด และด้วยแนวทางการผลิตที่ดูแลอย่างดี ทำให้เราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่พวกเราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาสินค้าเห็ดหลินจือมารับประทาน
งานวิจัยรับรองว่าการรับประทานสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่าการทานดอก เพราะเหตุว่าสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่ารวมทั้งสปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกหุ้มจะต้านทานโรคมะเร็ง รวมทั้งเสริมภูมิต้านทานได้ดีกว่า เทียบกับแบบมิได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดไม่ได้ที่สุดคือ.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆโดยไม่เป็นอันตรายใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แม้กระนั้นสายพันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยายอดเยี่ยมเป็นเห็ดหลินจือแดง เพราะเหตุว่าสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่เป็นอย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในตลาดแบบอย่างต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังในแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเพียบเลย
โดยเหตุนี้การจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี จะต้อง......
มองตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เนื่องจากว่าการควบคุมอณหภูเขาไม่ ความชื้น สารอาหาร และขั้นตอนการแปลรูปล้วนมีผลต่อจำนวนสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องมาจากเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ดังนั้นตัวบรรจุภัณฑ์ควรต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อได้ดีอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูซิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีเข้มมีพื้นผิวมันวาว มีลักษณะเหมือนไม้ แล้วก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์ช้านานในการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะเมืองจีนรวมทั้งญี่ปุ่น เนื่องจากมั่นใจว่าสารประกอบข้างในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย
สมุนไพร ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจเกิดผลดีต่อสุขภาพมากมาย พวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินแล้วก็แร่ธาตุบางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ตะกายอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) แล้วก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) และก็ลิวซีน (Leucine)ด้วยเหตุดังกล่าว มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาเตรียมอาหารและแปรรูปเพื่อการบริโภคอย่างนานาประการ นักวิทยาศาสตร์จึงสนใจและนำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาและการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดชนิดนี้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราใช่หรือไม่
เห็ดหลินมีผลดีต่อร่างกายที่อาจเป็นไปได้จริงหรือ?
ถึงแม้มีการค้นคว้าทดสอบมากไม่น้อยเลยทีเดียวเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณค่าที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่แจ่มกระจ่างถึงคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือเครื่องพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่กระจ่างถึงคุณลักษณะและประสิทธิผลด้านอะไรก็แล้วแต่ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ใช้ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณและก็ขั้นตอนการบริโภคที่เหมาะสม รวมถึงความจำกัดต่างๆรวมทั้งต้นเหตุทางสุขภาพของตนให้ดีก่อนการบริโภค
แบบอย่างงานศึกษาเรียนรู้ที่เรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อร่างกาย
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งได้ทดสอบหาประสิทธิผลและความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในคนป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปริมาณ 32 ราย  ผลลัพธ์เป็น เห็ดหลินจืออาจมีคุณประโยชน์ในด้านการหยุดยั้งลักษณะของการปวด ปลอดภัยต่อการรับประทานเข้าสู่ร่างกายและไม่มีผลใกล้กัน แต่ กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญสำหรับการต่อต้านปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลของการปรับระบบภูมิคุ้มกันอะไร

เพิ่มสมรรถนะร่างกาย
เห็ดหลินจือ มีการทดลองที่ทดลองคุณภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดลองในคนไข้โรคปวดกล้ามไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงจำนวน 64 ราย ตลอดระยะเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ ผู้เจ็บป่วยบริโภคเห็ดหลินจือปริมาณ 6 กรัม/วัน แล้วต่อจากนั้นจึงทดลองความสามารถร่างกายของผู้เจ็บป่วย ผลการทดสอบรวมทั้งวางแผนรักษาคนเจ็บโรคนี้ถัดไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่แจ้งชัด จึงควรมีการทำการค้นคว้าในด้าน เพื่อหาหลักฐานและก็สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือถัดไป
ต้านทานการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน แล้วก็ปกป้องการทำลายเซลล์ตับ
สมุนไพร จากการทดลองหาประสิทธิภาพของสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)และก็โพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และก็การคุ้มครองการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน คำตอบทีแสดงถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ แล้วก็ยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต่อต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แต่การทดสอบดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วเป็นเพียงแค่การวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาถัดไปเพื่อหาหลักฐานรวมทั้งข้อพสจน์ที่กระจ่างที่แจ่มกระจ่างถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

หน้า: [1] 2 3 ... 5