รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - saibennn9

หน้า: [1] 2 3 ... 19
1
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษผู้ถูกฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังมิได้คืน 8,068,325.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,293,402 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยให้การปฏิเสธและไม่ให้การในคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 1 ปี กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังมิได้คืน 5,339,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2560) ต้องไม่เกินระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิโต้เถียงกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 เวลากลางวัน นายสมชาย ผู้ถูกฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 4226/2558 ของศาลชั้นต้น เข้าไปในบ้านเลขที่ 232 อันเป็นเคหสถานของผู้ฟ้องคดี แล้วลักทองคำแท่ง หนักแท่งละ 10 บาท 20 แท่ง หนักแท่งละ 20 บาท 4 แท่ง และหนักแท่งละ 5 บาท 2 แท่ง สร้อยคอทองคำฝังเพชรและต่างหูเพชร 1 ชุด แหวนเพชร 1 วง สร้อยคอทองคำสองกษัตริย์ 1 เส้น สร้อยคอทองคำลายกระดูกงู 2 เส้น และธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท 100 ฉบับ ที่เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวไป จากนั้นนายสมชายร่วมกับนายวัชรินทร์ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 647/2559 ของศาลชั้นต้น ทำการสกัดทองคำแท่งที่ลักมาและหลอม เป็นทองก้อนที่โรงงานหลอมทองของนายวัชรินทร์ที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร วันรุ่งขึ้นนายสมชายกับนายวัชรินทร์นำทองคำที่หลอมแล้วไปขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณี มารดาจำเลย ซึ่งจำเลยเป็นผู้ดูแลกิจการ ในราคา 5,339,180 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสมชายกับนายวัชรินทร์ดำเนินคดี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายสมชายข้อหาลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวัชรินทร์ข้อหารับของโจรคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ในคดีความผิดข้อหารับของโจรนั้น ผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อทองคำดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทองคำดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด ดังนั้น ลำพังพฤติการณ์ที่ได้ความว่า ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำที่มีการหลอมมาก่อนเป็นจำนวนมากก็ไม่อาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีซื้อทองคำดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณีซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพค้าของเก่า ประเภทเพชร ทอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์เป็นจำนวนมากดังกล่าวฉะนั้นจึงมิใช่เรื่องผิดปกติทางการค้าของจำเลย ประกอบกับการซื้อขายทองคำดังกล่าวกระทำโดยเปิดเผยในเวลาทำการของร้าน โดยมิมีการปิดบังหรือซุกซ่อนแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความว่านายวัชรินทร์มีอาชีพหลอมทองและมีโรงงานหลอมทองเป็นของตัวเอง ก่อนเกิดเหตุนายวัชรินทร์นำทองคำไปให้จำเลยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำที่ร้านของจำเลยเป็นประจำโดยนายวัชรินทร์เบิกความตอบทนายผู้ถูกฟ้องคดีถามค้านว่า ขณะนำทองคำไปขายให้แก่จำเลยนั้น พยานอ้างแก่จำเลยว่าเป็นทองคำที่พยานสะสมไว้ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกดำรงศักดิ์ พนักงานสอบสวน เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำในคดีนี้นั้นเป็นราคาตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปตามที่สมาคมค้าทองคำระบุไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการระบุรายละเอียดการซื้อขายทองคำดังกล่าวไว้ในสมุดบัญชีคุมรายการขายทอดตลาดและค้าของเก่า รวมทั้งมีการจัดทำหลักฐานใบรับซื้อทองเก่าที่แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายวัชรินทร์ไว้ ข้อเท็จจริงฉะนั้นจึงเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำของโจทก์ไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ ดังนี้ นอกจากพยานหลักฐานผู้ฟ้องคดีดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ฟ้องคดีมิมีพยานอื่นใดมาสืบสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย พยานหลักฐานผู้ฟ้องคดีเท่าที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อย และรูปคดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำผิดข้อหารับของโจรหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้ผู้ถูกฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น มิต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฟ้องคดีหรือมิ และตามฎีกาของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้จากนายวัชรินทร์เป็นของโจทก์ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทองคำ เพราะผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในทองคำนั้น ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนมิมีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงย่อมมีสิทธิติดตามเอาทองคำดังกล่าวคืนจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของผู้ถูกฟ้องคดีจะอยู่ในชุมชนการค้า แต่จำเลยรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์ที่นำมาขายให้ที่ห้างขายทองของจำเลย โดยมิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งในชุมชนการค้านั้น การที่จำเลยซื้อไว้โดยสุจริตและไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรดังที่วินิจฉัยมา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยซื้อทองคำในท้องตลาดอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยการยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จำเลยจึงต้องคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดี แต่ที่โจทก์มีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้ราคาทองคำเป็นเงิน 7,293,402 บาท ส่วนจำเลยอ้างว่ารับซื้อทองคำไว้ในราคาเพียง 5,339,180 บาท นั้น เห็นว่า วัตถุแห่งหนี้ที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องชำระแก่ผู้ฟ้องคดีได้แก่ทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้ ซึ่งได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า ผ่านการสกัดและหลอม มีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม จะกลายเป็นหนี้เงินได้ก็ต่อเมื่อการคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการพ้นวิสัย หาใช่คิดคำนวณราคาในเวลาที่จำเลยรับซื้อจากนายวัชรินทร์ดังที่ผู้ฟ้องคดีและจำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดมิ เมื่อมิปรากฏว่า การปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการคืนทองคำเป็นการพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด ดังนั้นจึงกำหนดให้ใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยโดยคำนวณในขณะที่โจทก์ร้องขอให้ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 อันได้แก่วันฟ้อง แต่เนื่องจากราคาซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ฉะนั้นจึงกำหนดราคาให้ตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันดังกล่าวอนึ่ง คดีนี้เป็นคดีอาญา จำเลยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 แต่จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลมา 118,230 บาท ฉะนั้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลดังกล่าวแก่ผู้ถูกฟ้องคดีพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานรับของโจร แต่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนทองคำมีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม แก่โจทก์ หากคืนมิได้ให้ใช้ราคาทองคำดังกล่าวตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันฟ้อง (วันที่ 28 เมษายน 2560) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 7,293,402 บาท ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 118,230 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายความเชียงใหม่

เครดิต : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายความเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

2
ผู้ฟ้องคดีฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 8,068,325.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,293,402 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีให้การปฏิเสธและมิให้การในคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 1 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังมิได้คืน 5,339,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2560) ต้องมิเกินระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับผู้ฟ้องคดีและจำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิโต้เถียงกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 เวลากลางวัน นายสมชาย ผู้ถูกฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 4226/2558 ของศาลชั้นต้น เข้าไปในบ้านเลขที่ 232 อันเป็นเคหสถานของโจทก์ แล้วลักทองคำแท่ง หนักแท่งละ 10 บาท 20 แท่ง หนักแท่งละ 20 บาท 4 แท่ง และหนักแท่งละ 5 บาท 2 แท่ง สร้อยคอทองคำฝังเพชรและต่างหูเพชร 1 ชุด แหวนเพชร 1 วง สร้อยคอทองคำสองกษัตริย์ 1 เส้น สร้อยคอทองคำลายกระดูกงู 2 เส้น และธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท 100 ฉบับ ที่เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวไป จากนั้นนายสมชายร่วมกับนายวัชรินทร์ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 647/2559 ของศาลชั้นต้น ทำการสกัดทองคำแท่งที่ลักมาและหลอม เป็นทองก้อนที่โรงงานหลอมทองของนายวัชรินทร์ที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร วันรุ่งขึ้นนายสมชายกับนายวัชรินทร์นำทองคำที่หลอมแล้วไปขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณี มารดาจำเลย ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลกิจการ ในราคา 5,339,180 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสมชายกับนายวัชรินทร์ดำเนินคดี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายสมชายข้อหาลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวัชรินทร์ข้อหารับของโจรคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ในคดีความผิดข้อหารับของโจรนั้น ผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อทองคำดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทองคำดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนมิรู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด ดังนั้น ลำพังพฤติการณ์ที่ได้ความว่า จำเลยรับซื้อทองคำที่มีการหลอมมาก่อนเป็นจำนวนมากก็ไม่อาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าจำเลยซื้อทองคำดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณีซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพค้าของเก่า ประเภทเพชร ทอง การที่จำเลยรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์เป็นจำนวนมากดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องผิดปกติทางการค้าของผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบกับการซื้อขายทองคำดังกล่าวกระทำโดยเปิดเผยในเวลาทำการของร้าน โดยไม่มีการปิดบังหรือซุกซ่อนแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความว่านายวัชรินทร์มีอาชีพหลอมทองและมีโรงงานหลอมทองเป็นของตัวเอง ก่อนเกิดเหตุนายวัชรินทร์นำทองคำไปให้จำเลยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำที่ร้านของจำเลยเป็นประจำโดยนายวัชรินทร์เบิกความตอบทนายผู้ถูกฟ้องคดีถามค้านว่า ขณะนำทองคำไปขายให้แก่จำเลยนั้น พยานอ้างแก่ผู้ถูกฟ้องคดีว่าเป็นทองคำที่พยานสะสมไว้ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกดำรงศักดิ์ พนักงานสอบสวน เบิกความตอบทนายผู้ถูกฟ้องคดีถามค้านว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำในคดีนี้นั้นเป็นราคาตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปตามที่สมาคมค้าทองคำระบุไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการระบุรายละเอียดการซื้อขายทองคำดังกล่าวไว้ในสมุดบัญชีคุมรายการขายทอดตลาดและค้าของเก่า รวมทั้งมีการจัดทำหลักฐานใบรับซื้อทองเก่าที่แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายวัชรินทร์ไว้ ข้อเท็จจริงดังนั้นจึงเชื่อว่าจำเลยรับซื้อทองคำของโจทก์ไว้โดยมิรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ ดังนี้ นอกจากพยานหลักฐานผู้ฟ้องคดีดังกล่าวข้างต้นแล้ว โจทก์มิมีพยานอื่นใดมาสืบสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกฟ้องคดี พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อย และรูปคดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำผิดข้อหารับของโจรหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น มิต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ถูกฟ้องคดีฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฟ้องคดีหรือมิ และตามฎีกาของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฟ้องคดีเพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทองคำที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อไว้จากนายวัชรินทร์เป็นของโจทก์ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทองคำ เพราะผู้ขายมิมีกรรมสิทธิ์ในทองคำนั้น ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงย่อมมีสิทธิติดตามเอาทองคำดังกล่าวคืนจากผู้มิมีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของผู้ถูกฟ้องคดีจะอยู่ในชุมชนการค้า แต่จำเลยรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์ที่นำมาขายให้ที่ห้างขายทองของผู้ถูกฟ้องคดี โดยมิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งในชุมชนการค้านั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อไว้โดยสุจริตและมิเป็นความผิดฐานรับของโจรดังที่วินิจฉัยมา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยซื้อทองคำในท้องตลาดอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยการยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ผู้ถูกฟ้องคดีดังนั้นจึงต้องคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดี แต่ที่โจทก์มีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้ราคาทองคำเป็นเงิน 7,293,402 บาท ส่วนจำเลยอ้างว่ารับซื้อทองคำไว้ในราคาเพียง 5,339,180 บาท นั้น เห็นว่า วัตถุแห่งหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่ผู้ฟ้องคดีได้แก่ทองคำที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อไว้ ซึ่งได้ความจากทางนำสืบของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ผ่านการสกัดและหลอม มีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม จะกลายเป็นหนี้เงินได้ก็ต่อเมื่อการคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการพ้นวิสัย หาใช่คิดคำนวณราคาในเวลาที่จำเลยรับซื้อจากนายวัชรินทร์ดังที่ผู้ฟ้องคดีและจำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ เมื่อมิปรากฏว่า การปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการคืนทองคำเป็นการพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด ฉะนั้นจึงกำหนดให้ใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยโดยคำนวณในขณะที่โจทก์ร้องขอให้ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 อันได้แก่วันฟ้อง แต่เนื่องจากราคาซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ดังนั้นจึงกำหนดราคาให้ตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันดังกล่าวอนึ่ง คดีนี้เป็นคดีอาญา ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 แต่จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลมา 118,230 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลดังกล่าวแก่จำเลยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานรับของโจร แต่ให้จำเลยคืนทองคำมีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม แก่ผู้ฟ้องคดี หากคืนมิได้ให้ใช้ราคาทองคำดังกล่าวตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันฟ้อง (วันที่ 28 เมษายน 2560) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 7,293,402 บาท ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 118,230 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายความเชียงใหม่

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายความเชียงใหม่

3
ผู้ฟ้องคดีฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษผู้ถูกฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 8,068,325.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,293,402 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยให้การปฏิเสธและมิให้การในคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 1 ปี กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังมิได้คืน 5,339,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2560) ต้องมิเกินระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับผู้ฟ้องคดีและจำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 เวลากลางวัน นายสมชาย จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 4226/2558 ของศาลชั้นต้น เข้าไปในบ้านเลขที่ 232 อันเป็นเคหสถานของผู้ฟ้องคดี แล้วลักทองคำแท่ง หนักแท่งละ 10 บาท 20 แท่ง หนักแท่งละ 20 บาท 4 แท่ง และหนักแท่งละ 5 บาท 2 แท่ง สร้อยคอทองคำฝังเพชรและต่างหูเพชร 1 ชุด แหวนเพชร 1 วง สร้อยคอทองคำสองกษัตริย์ 1 เส้น สร้อยคอทองคำลายกระดูกงู 2 เส้น และธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท 100 ฉบับ ที่เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวไป จากนั้นนายสมชายร่วมกับนายวัชรินทร์ ผู้ถูกฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 647/2559 ของศาลชั้นต้น ทำการสกัดทองคำแท่งที่ลักมาและหลอม เป็นทองก้อนที่โรงงานหลอมทองของนายวัชรินทร์ที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร วันรุ่งขึ้นนายสมชายกับนายวัชรินทร์นำทองคำที่หลอมแล้วไปขายให้แก่จำเลยที่ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณี มารดาจำเลย ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลกิจการ ในราคา 5,339,180 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสมชายกับนายวัชรินทร์ดำเนินคดี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายสมชายข้อหาลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยมิได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวัชรินทร์ข้อหารับของโจรคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือมิ เห็นว่า ในคดีความผิดข้อหารับของโจรนั้น ผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อทองคำดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด มิใช่ว่าเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทองคำดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด ดังนั้น ลำพังพฤติการณ์ที่ได้ความว่า ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำที่มีการหลอมมาก่อนเป็นจำนวนมากก็มิอาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าจำเลยซื้อทองคำดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ดูแลห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณีซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพค้าของเก่า ประเภทเพชร ทอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์เป็นจำนวนมากดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องผิดปกติทางการค้าของจำเลย ประกอบกับการซื้อขายทองคำดังกล่าวกระทำโดยเปิดเผยในเวลาทำการของร้าน โดยมิมีการปิดบังหรือซุกซ่อนแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความว่านายวัชรินทร์มีอาชีพหลอมทองและมีโรงงานหลอมทองเป็นของตัวเอง ก่อนเกิดเหตุนายวัชรินทร์นำทองคำไปให้จำเลยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำที่ร้านของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นประจำโดยนายวัชรินทร์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะนำทองคำไปขายให้แก่จำเลยนั้น พยานอ้างแก่จำเลยว่าเป็นทองคำที่พยานสะสมไว้ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกดำรงศักดิ์ พนักงานสอบสวน เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำในคดีนี้นั้นเป็นราคาตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปตามที่สมาคมค้าทองคำระบุไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการระบุรายละเอียดการซื้อขายทองคำดังกล่าวไว้ในสมุดบัญชีคุมรายการขายทอดตลาดและค้าของเก่า รวมทั้งมีการจัดทำหลักฐานใบรับซื้อทองเก่าที่แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายวัชรินทร์ไว้ ข้อเท็จจริงดังนั้นจึงเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำของผู้ฟ้องคดีไว้โดยมิรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ ดังนี้ นอกจากพยานหลักฐานผู้ฟ้องคดีดังกล่าวข้างต้นแล้ว โจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมาสืบสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาดังนั้นจึงมีน้ำหนักน้อย และรูปคดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำผิดข้อหารับของโจรหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้ผู้ถูกฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น มิต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ถูกฟ้องคดีฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฟ้องคดีเพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทองคำที่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อไว้จากนายวัชรินทร์เป็นของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิได้กรรมสิทธิ์ในทองคำ เพราะผู้ขายมิมีกรรมสิทธิ์ในทองคำนั้น ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงย่อมมีสิทธิติดตามเอาทองคำดังกล่าวคืนจากผู้มิมีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของจำเลยจะอยู่ในชุมชนการค้า แต่ผู้ถูกฟ้องคดีรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์ที่นำมาขายให้ที่ห้างขายทองของผู้ถูกฟ้องคดี โดยมิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งในชุมชนการค้านั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อไว้โดยสุจริตและไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรดังที่วินิจฉัยมา ก็ถือมิได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีซื้อทองคำในท้องตลาดอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยการยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จำเลยจึงต้องคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดี แต่ที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยใช้ราคาทองคำเป็นเงิน 7,293,402 บาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีอ้างว่ารับซื้อทองคำไว้ในราคาเพียง 5,339,180 บาท นั้น เห็นว่า วัตถุแห่งหนี้ที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องชำระแก่ผู้ฟ้องคดีได้แก่ทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้ ซึ่งได้ความจากทางนำสืบของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ผ่านการสกัดและหลอม มีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม จะกลายเป็นหนี้เงินได้ก็ต่อเมื่อการคืนทองคำดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการพ้นวิสัย หาใช่คิดคำนวณราคาในเวลาที่จำเลยรับซื้อจากนายวัชรินทร์ดังที่โจทก์และจำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่า การปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการคืนทองคำเป็นการพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด จึงกำหนดให้ใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยโดยคำนวณในขณะที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอให้ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 อันได้แก่วันฟ้อง แต่เนื่องจากราคาซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ดังนั้นจึงกำหนดราคาให้ตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันดังกล่าวอนึ่ง คดีนี้เป็นคดีอาญา ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลมา 118,230 บาท ฉะนั้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลดังกล่าวแก่ผู้ถูกฟ้องคดีพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานรับของโจร แต่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนทองคำมีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม แก่ผู้ฟ้องคดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาทองคำดังกล่าวตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันฟ้อง (วันที่ 28 เมษายน 2560) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 7,293,402 บาท ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 118,230 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

ที่มา : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายความเชียงใหม่

4
ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ใช้ลำรางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 ต่อจากบิดาของโจทก์ทั้งสองโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาจะได้ภาระจำยอมในลำรางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ดินของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382, 1401 แม้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองสามารถรับน้ำได้จากคลองด้วยก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมดังกล่าวสิ้นไป เพราะภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 เท่านั้น
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิต : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

5
ย. ตกลงขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้พันเอก พ. เมื่อปี 2519 ต่อมาปี 2520 เมื่อมีการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากติดข้อกำหนดที่ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายใน 10 ปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่ง ป.ที่ดิน ย. และพันเอก พ. จึงทำบันทึกข้อสัญญาจำนองโดยไม่มีการกู้ยืมเงินจริง แต่ทำเพื่ออำพรางสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่ยังไม่อาจโอนสิทธิในที่ดินได้เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ เอกสารสัญญาจำนองฉะนั้นจึงเป็นนิติกรรมอำพราง ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 เมื่อเอกสารสัญญาจำนองเป็นโมฆะ โจทก์ดังนั้นจึงไม่อาจฟ้องบังคับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากผู้ถูกฟ้องคดีได้การทำสัญญาการซื้อขายที่ดินพิพาทฉะนั้นจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามกฎหมาย เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ดังนั้น การที่ ย. ทำเอกสารสัญญาการซื้อขายและมอบให้พันเอก พ. ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท พันเอก พ. ก็หาได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายไม่เพราะอยู่ในกำหนดห้ามโอนตามกฎหมาย อย่างไรบ้างก็ตาม เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอนคือวันที่ 24 สิงหาคม 2530 พันเอก พ. และทายาทครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้ชำระภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2528 ถึง พ.ศ.2559 โดยไม่ปรากฏว่า ย. หรือทายาทเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ย. หรือทายาทได้สละการครอบครองที่พิพาทให้แก่พันเอก พ. แล้ว ย่อมถือว่าพันเอก พ. ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนต่อแต่นั้นมา พันเอก พ. ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 โดยไม่จำต้องจดทะเบียนการได้มา
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิต : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายความเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

6
ย. ตกลงขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้พันเอก พ. เมื่อปี 2519 ต่อมาปี 2520 เมื่อมีการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากติดข้อกำหนดที่ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายใน 10 ปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่ง ป.ที่ดิน ย. และพันเอก พ. ฉะนั้นจึงทำบันทึกข้อสัญญาจำนองโดยไม่มีการกู้ยืมเงินจริง แต่ทำเพื่ออำพรางบันทึกข้อสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่ยังไม่อาจโอนสิทธิในที่ดินได้เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ เอกสารสัญญาจำนองดังนั้นจึงเป็นนิติกรรมอำพราง ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 เมื่อเอกสารสัญญาจำนองเป็นโมฆะ ผู้ฟ้องคดีดังนั้นจึงไม่อาจฟ้องบังคับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยได้การทำบันทึกข้อสัญญาการซื้อขายที่ดินพิพาทฉะนั้นจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามกฎหมาย เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎหมาย ฉะนั้นจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ดังนั้น การที่ ย. ทำสัญญาการซื้อขายและมอบให้พันเอก พ. ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท พันเอก พ. ก็หาได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายไม่เพราะอยู่ในกำหนดห้ามโอนตามกฎหมาย ยังไงก็ตาม เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอนคือวันที่ 24 สิงหาคม 2530 พันเอก พ. และทายาทครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้ชำระภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2528 ถึง พ.ศ.2559 โดยไม่ปรากฏว่า ย. หรือทายาทเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ย. หรือทายาทได้สละการครอบครองที่พิพาทให้แก่พันเอก พ. แล้ว ย่อมถือว่าพันเอก พ. ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนต่อแต่นั้นมา พันเอก พ. ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 โดยไม่จำต้องจดทะเบียนการได้มา
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิต : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

7
โจทก์ทั้งสองได้ใช้ลำรางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อจากบิดาของโจทก์ทั้งสองโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาจะได้ภาระจำยอมในลำรางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เฉพาะส่วนที่เป็นลำรางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382, 1401 แม้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองสามารถรับน้ำได้จากคลองด้วยก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมดังกล่าวสิ้นไป เพราะภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองมิได้ใช้ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 เท่านั้น
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิตบทความจาก : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายความเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

8
ในการทำนิติกรรมระหว่างกันนั้น โดยหลักแล้วต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ต่อกัน อาทิข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ฝ่ายผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเรียกร้องในหนี้ส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่วนฝ่ายผู้ขายเป็นเจ้าหนี้ในหนี้ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันตามข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เป็นต้น หากปรากฏว่า ผู้ขายจำต้องการให้ผู้ซื้อที่ดินชำระเงินตามบันทึกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกข้อสัญญาจะมีผลเป็นอย่างไร
 
ในกรณีดังกล่าว ทางกฎหมายเรียกว่า บันทึกสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอกมีสิทธิในอันที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ตามข้อสัญญาชำระหนี้ให้แก่ตนได้โดยตรง และเมื่อสิทธิของบุคคลภายจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลภายนอกนั้นได้เรียกร้องว่าจะให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ตน และส่งผลให้ลูกหนี้รวมถึงคู่บันทึกสัญญาอีกฝ่ายจะตกลงกันเพื่อยกเลิกเพื่อของบุคคลภายนอกนั้นไม่ได้
 
ยกตัวอย่างอาทิ นาย ก ทำบันทึกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๓๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้างกับนาย ข เจ้าของที่ดิน ในราคา ๑๐ ล้านบาท โดยได้ระบุไว้ในข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวว่า นายจะอาจต้องชำระหนี้ราคาที่ดินดังกล่าวให้แก่ นาง ค แทนการชำระหนี้ให้แก่นาย ข ดังนี้ ข้อสัญญาจะซื้อจะขายตามข้อข้อสัญญาดังกล่าว เป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ต่อมาเมื่อนาง ค ทราบว่า ข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่าง นาย ก กับ นาย ข ได้มีข้อบันทึกสัญญาดังกล่าวเพื่อให้ชำระค่าราคาที่ดินจำนวน ๑๐ ล้านบาท ให้แก่นาง ค ๆ จึงได้จัดทำหนังสือแสดงเจตนาต่อนาย ก และนาย ข ว่า ตนประสงค์จะถือเอาประโยชน์ตามบันทึกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว ทำให้ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกมีผลใช้บังคับได้ และนาย ก และนาย ข ไม่อาจตกลงเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับบันทึกสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกได้อีกต่อไป
กรณีศึกษาตามคำพิพากษา โดยมีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7565 - 7567/2561 ตามข้อสัญญาจะซื้อจะขายพิพาทไม่ได้กำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินและโรงงานให้แก่จำเลยที่ 1 จึงอาจต้องแปลความว่าหนี้ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะอาจต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสามนั้นถึงกำหนดชำระเมื่อมีการจดทะเบียนโอนที่ดินและโรงงานให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วนั่นเอง เมื่อปรากฏว่าบริษัท อ. จดทะเบียนโอนที่ดินและโรงงานให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ย่อมถือว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 อาจต้องชำระให้โจทก์ทั้งสามถึงกำหนดในวันดังกล่าว หาใช่ถึงกำหนดนับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2557 อันเป็นวันที่โจทก์ทั้งสามแสดงเจตนาให้จำเลยทั้งสามทราบว่าจะถือเอาประโยชน์ตามบันทึกสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกไม่
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายความเชียงใหม่

ที่มา : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่

9
ที่ดินของผู้ฟ้องคดีแบ่งแยกมาจากที่ดินของ ส. และ ต. ภายหลังแบ่งแยก ต. ผู้ขายที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตกลงยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีใช้ทางพิพาทซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของ ต. เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ซึ่งผู้ฟ้องคดีและบริวารก็ได้ใช้ทางพิพาทดังกล่าวตลอดมา การตกลงกันดังกล่าวถือเป็นการทำนิติกรรมก่อตั้งสิทธิภาระจำยอมระหว่างกัน หาใช่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ต. หรือโดยวิสาสะไม่ ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยนิติกรรมดังกล่าว จะเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้ฟ้องคดียังไม่ได้จดทะเบียนการได้ทางภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงมิบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์ก็อาจได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความหากโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยเจตนาให้ได้ภาระจำยอมซึ่งต้องพิจารณาจากการใช้ว่า เป็นการใช้โดยอาการที่ถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อ ต. เจ้าของที่ดินที่ตั้งทางพิพาทคนเดิมและเจ้าของที่ดินคนต่อ ๆ มาหรือมิ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมตลอดมา เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดี เมื่อเป็นการได้มาซึ่งภาระจำยอมแล้ว แม้จะเป็นการได้ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ก็ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น จำเลยทั้งสองจะยกเรื่องการรับโอนที่ดินมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ฟ้องคดีหาได้ไม่
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิต : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายความเชียงใหม่,ทนายเชียงใหม่

10
โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่น จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ณ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังใช้คืนมิหมด ต่อมา ณ. ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อนำเงินยืมเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก แต่จำเลยมิยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน โจทก์จำเลยเขียนบันทึกโต้ตอบกันโดยโจทก์ด่าจำเลยก่อนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าโดยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน การที่จำเลยพูดห้ามบุตรสาวจำเลยไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำมิมีหางมันเอาหมดนั้น เป็นการกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันมิสมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนั้น การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์เกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 (3)
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายความเชียงใหม่

ที่มา : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่

11
 
                หลายท่านอาจจะอาจเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วว่า เป็นนี้เป็นกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ในวันนี้ ทนายเชียงใหม่ จะได้มานำเสนอข้อกฎหมายให้ท่านเห็นว่า ความจริงแล้วทางด้านกฎหมาย ได้มอง คำว่า กระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล จะยังไงนั้น
            ก่อนอื่น คำว่า กระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ได้ระบุไว้ในมาตรา 388 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลโดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย หรือกระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
            เมื่อได้ไต่ตรองจากมาตราดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า การกระทำดังกล่าว มีเพียงโทษปรับเท่านั้น ซึ่งมีความผิดไม่ร้ายแรง แต่ในบ้างกรณีแล้วการกระทำดังกล่าว อาจเป็นความผิดฐานอื่นร่วมด้วย
            กรณีเช่น ผู้กระทำความผิดต้องการล่วงละเมิดในทางเพศกับผู้อื่นหรือผู้เสียหาย จึงได้ใช้มีดกรีดกระโปรงของผู้เสียหายแล้วใช้อวัยวะเพศมาถูไถ่ให้สำเร็จความใคร่ กระทำดังกล่าวเป็นการกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล และยังเป็นความฐานทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงความผิดฐานอานาจารอีกด้วย
            วันนี้ ทนายความเชียงใหม่ ได้นำเสนอคำพิพากษาศาลฎีกามาให้ศึกษา กันถึงกรณีที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนี้
             คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6668/2551
            จำเลยกรีดกระโปรงนักเรียนของผู้เสียหาย แล้วใช้ลำตัวของจำเลยเบียดที่ลำตัวด้านหลังของผู้เสียหายพร้อมกับใช้อวัยวะเพศของจำเลยดันที่บริเวณก้นของผู้เสียหายขณะอยู่บนรถไฟฟ้าต่อหน้าผู้โดยสารจำนวนมาก ภายหลังจากนั้นจำเลยใช้มือชักอวัยวะเพศของจำเลยเข้าออกเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนบนสถานีรถไฟฟ้า จำเลยกระทำการดังกล่าวก็เพื่อกระทำอนาจารผู้เสียหายและกระทำการลามกอันควรขายหน้าต่อธารกำนัล การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน โดยมีเจตนาเพื่อกระทำอนาจารผู้เสียหายและเป็นผลมาจากการกระทำอนาจาร ลักษณะของเจตนาในการกระทำผิดเป็นอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวมิใช่หลายกรรม แม้โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันและจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นหลายกรรมต่างกันได้
            ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ นอกจากนั้น หากเกิดปัญหาดังที่ได้กล่าวนี้แล้ว ผู้อ่านจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ผู้อ่านสามารถเข้ามาศึกษา จากบทความในหัวข้อ เมื่อตกเป็นผู้เสียหายในคดีทางอาญามีสิทธิอย่างไร บทความเรื่อง สิทธิของผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำผิดของผู้เสียหายในคดีอาญา โดยสามารถคลิกแล้วมาที่ ตรงนี้ได้เลย
 
           

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.นพนภัสทนายความเชียงใหม่.com/

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายความเชียงใหม่

12
การเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้น จะต้องมีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือเจ้ามรดกด้วย หากว่าไม่มีสิทธิ์ได้รับทรัพย์มรดกแล้ว ทายาทดังกล่าวย่อมมิอาจเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ แต่ทั้งนี้ หากว่า ผู้ตายมีทายาทที่มีสิทธิรับมรดก แต่ต่อมาทายาทคนดังกล่าวได้ถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะได้ยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดก บุตรหรือทายาทของทายาทของผู้ตายจะมีสิทธิ์ที่จะร้องขอแต่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่อย่างไร
ซึ่งในประเด็นนี้ ทนายความเชียงใหม่ จะให้คำตอบว่า สามารถแต่งตั้งได้เพราะทายาทดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตาย ดังนั้นแล้ว จึงสามารถยื่นคำร้องขอแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้
แม้ผู้คัดค้านที่ 3 ไม่อาจเข้ารับทรัพย์มรดกแทนที่ อ. เพราะ อ. ถึงแก่ความตายภายหลังเจ้ามรดกก็ตาม แต่ผู้คัดค้านที่ 3 เป็นบุตรของ อ. ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของผู้ตายเพราะเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย ซึ่งไม่มีสามีและบุตร และบิดามารดาตายไปก่อนแล้ว เมื่อ อ. ถึงแก่ความตายภายหลังผู้ตาย ทรัพย์มรดกในส่วนของ อ. จึงตกแก่ผู้คัดค้านที่ 3 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ย่อมเป็นทายาทผู้สืบสิทธิ์ของ อ. ในการรับมรดกของผู้ตาย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิ์ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

ขอบคุณบทความจาก : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ทนายความเชียงใหม่

13
อื่น ๆ / ???䢵???Ţ???ѭ?ҡ??
« เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2020, 05:47:33 AM »
㺺ҧ????? ????˹???????????????Թ??? ???ա?á???????Թ?ѹ???¤???? ????????????ѭ?ҡ???????Թ??͡ѹ??? ?֧???????ѭ?ҡ???????????䢨ӹǹ??Թ???ѭ?ҡ?? ??????ѭ?ҡ?????????????㹤??????ѧ????????? ?????˵????ҧ??س???ҹ????????´??????

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nopnapatlaw99&month=01-05-2020&group=1&gblog=29

14
อื่น ๆ / ˹ѧ????ͺ?ӹҨ??ͧ?Դ?ҡ??ʵ???????????
« เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2020, 02:15:48 PM »
?ء?????????????ҹ????????? ?ʴ?????բ?͢?ͧ??????ͧ??ûԴ?ҡ??ʵ???????????͹ ?ѧ???? ?к͡??? ˹ѧ????ͺ??ͧ?Դ?ҡ??ʵ??? 10 ?ҷ???? 30 ?ҷ ????????ó? ??ǹ????????ҧ?ù???

?????ԡ??ҹ??躷???????

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nopnapatlaw99&month=06-05-2020&group=1&gblog=35

15
อื่น ๆ / ?????Ҩ???Դ??¤????Ѻ?ҡ???????????Թ??繤????Դ?ҹ?պ??ҷ?Ѿ??
« เมื่อ: เมษายน 25, 2020, 04:07:21 AM »
??÷????ҹ?١????????? ????Դ??¤????Ѻ????????ҹ??ͧ????????ѡ??????????????????ǧ??? ??????????ͧ?????ҵ?ͧ??û??Դ??鹨?????????ͧ?Դ??Ÿ?????????? ????????????????ͧ?????ҵ?ͧ??û??Դ????????ҹ??ͧ??û??Դ ???? ?????Ҩ??դ???????ѹ???ѹ?????ǡѺ??????? ??繵?? ?ҡ??ҷ?ҹ?١????????Ҩ???Դ??¤????Ѻ?ѧ????????? ???¡??????????繤????Դ?ҹ?մ??ҷ?Ѿ??
 
?Դ??????????????????????
https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/%E0%B8%82%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C.html
?Ӥ???ҷ???????Ǣ?ͧ : ???¤??????§????

??ôԵ???????ҡ : https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/

Tags : ???????§????,???¤??????§????,??֡?ҡ????????§????

หน้า: [1] 2 3 ... 19