รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สัญญาณเตือนอาการเด็กสมาธิสั้นที่ผู้ปกครองควรต้องจับตาดูเป็นพิเศษ  (อ่าน 189 ครั้ง)

nanasee

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 63
    • ดูรายละเอียด


              การเข้าใจและการจัดการกับเด็กสมาธิสั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผู้ปกครองและครูผู้สอน สมาธิสั้นหรือสมาธิสั้นผสมซุกซน (ADHD) เป็นภาวะทางประสาทวิทยาที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมและสมาธิทำให้เด็กมีปัญหา การแสดงพฤติกรรมที่ซุกซนเกินกว่าปกติ อาการหลัก ๆ ประกอบด้วย วอกแวกง่าย ไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย ทำตามคำสั่งได้ยาก ละเลยในรายละเอียด หรือทำผิดด้วยความเลินเล่อจัดระเบียบตนเองไม่ค่อยได้ ทำของหายบ่อยๆ ซึ่งการที่เด็กมีสมาธิสั้นนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองต้องคอยสังเกตุอาการของเด็กๆ ให้ดี หากพบอาการเข้าข่ายว่าเด็กเป็นสมาธิสั้นจะได้ทำการรักษาได้ทันที ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลมากมายที่มีแผนกรักษาอาการเด็กสมาธิสั้นโดยเฉพาะ อย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น เพราะฉะนั้นหากพบอาการเร็วรักษาเร็วเด็กก็จะมีโอกาสหายจากโรคนี้ได้สูงค่ะ

สาเหตุการเกิดโรคสมาธิสั้นในเด็ก
ทั้งนี้โรคสมาธิสั้นในเด็กเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลกัน เพราะโดยปกติสมองส่วนหน้าจะหลั่งสารเคมีชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีสมาธิที่ยาวนานขึ้น และควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ แต่ในเด็กที่สมาธิสั้นนั้นจะมีการหลั่งสารเคมีชนิดนี้ออกมาน้อย หรือไม่ก็อาจจะหลั่งสารออกมาแต่เกิดการสลายตัวเร็วเกินไป จึงทำให้เกิดอาการสมาธิสั้น รวมถึงยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกดังนี้
•   พันธุกรรม โดยพบว่าเด็กที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสมาธิสั้นจะมีโอกาสเป็นสมาธิสั้นได้มากกว่าเด็กอื่นๆ 3-4 เท่า
•   ผลจากการเลี้ยงดู อย่างสื่อทางจอสามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เด็กสมาธิสั้นมีอาการมากขึ้นได้
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ทั้งหลังจากที่เด็กคลอดแล้วหรืออยู่ในครรภ์ เช่น คุณแม่มีการดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือได้รับสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงในระหว่างตั้งครรภ์ หรือหลังจากคลอดแล้วเด็กยังได้รับสารจำพวกนี้อยู่ ก็อาจจะส่งผลต่อสมองของเด็ก รวมถึงความเครียดของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ก็สามารถส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีสมาธิสั้นได้ด้วย

สัญญาณเตือนหลักๆ อาการเด็กสมาธิสั้นที่ผู้ปกครองควรต้องจับตามอง
•   การขาดสมาธิ เด็กมักมีปัญหาในการรักษาสมาธิเป็นเวลานาน อาจดูเหมือนว่าไม่ฟังเมื่อพูดกับพวกเขาหรือง่ายที่จะหลุดจากเรื่องที่กำลังทำ
•   การกระทำโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ อาจแสดงพฤติกรรมที่ดูไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา เช่น การกระทำอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดหรือการตัดสินใจโดยไม่พิจารณา
•   ความซุกซนและไม่สามารถนิ่งเฉยได้ เด็กๆ มักจะมีพลังงานสูงและยากที่จะนั่งนิ่งๆ ไม่ว่าจะในห้องเรียนหรือในสถานการณ์ที่ต้องการความสงบ
•   ปัญหาในการจัดการงานหรือกิจกรรม อาจพบว่ามีความยากลำบากในการจัดลำดับหรือเสร็จสิ้นงานที่มีหลายขั้นตอน
•   การหลงลืม เด็กที่มีสมาธิสั้นมักมีปัญหากับการจำสิ่งของประจำวัน เช่น การลืมทำการบ้านหรือลืมเอาของไปโรงเรียน
•   การแทรกแซงหรือการขัดจังหวะบ่อยครั้ง พวกเขาอาจมีปัญหาในการรอคอยหรือการรับฟังคนอื่นจนจบ และอาจแทรกแซงการสนทนาหรือกิจกรรมของคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
•   ปัญหาทางสังคม อาจมีปัญหาในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมรุ่น เนื่องจากพฤติกรรมซุกซนหรือการขาดความอดทน

แนวทางในการรักษาเด็กที่สมาธิสั้น
1.   การบำบัดด้วยพฤติกรรม วิธีนี้มุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผ่านการใช้ระบบรางวัลและผลลัพธ์ มันช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับสมาธิและพฤติกรรมของตนเอง โดยอาจรวมถึงการฝึกทักษะสังคมและการจัดการอารมณ์
2.   การให้คำปรึกษาและการบำบัดทางจิตวิทยา การให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้เด็กเข้าใจและจัดการกับความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะการรับมือที่เป็นประโยชน์
3.   การแทรกแซงทางการศึกษา การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนและสภาพแวดล้อมในห้องเรียนสามารถช่วยให้เด็กที่มีสมาธิสั้นได้รับประโยชน์สูงสุดจากการศึกษา รวมถึงการใช้การสอนแบบบุคคลเฉพาะและการจัดการห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้
4.   การใช้ยา ยาเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญสำหรับเด็กบางคนที่มีสมาธิสั้น ยาเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อช่วยให้เด็กสามารถรักษาสมาธิและควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
5.   การสนับสนุนจากครอบครัว การมีครอบครัวที่เข้าใจและสนับสนุนเป็นสิ่งสำคัญมาก การฝึกอบรมสำหรับผู้ปกครองและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเติบโตที่บ้านสามารถช่วยให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น
6.   การจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้อง บางครั้งเด็กที่มีสมาธิสั้นอาจมีปัญหาทางอารมณ์หรือปัญหาการเรียนอื่น ๆ การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาหรือสุขภาพจิตเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ

           หากเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที เพราะการรักษาเด็กสมาธิสั้นต้องใช้เวลาและอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อผลการรักษาที่ดี ที่สำคัญหากเด็กเข้ารับการรักษาจนหายขาดจากโรคนี้ เด็กก็จะมีสมาธิดีขึ้น ผลการเรียนดีขึ้น เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคตได้ค่ะ

#เด็กสมาธิสั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 14, 2024, 09:26:13 AM โดย nanasee »
บันทึกการเข้า