รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ความหมายของสมุนไพรโกษฐ  (อ่าน 312 ครั้ง)

numtanf225611

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
ความหมายของสมุนไพรโกษฐ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2017, 08:10:34 AM »


สมุนไพรพิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย ตำราเรียนโบราณเขียนชื่อพิกัดยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไปหลายแบบ ในแผ่นจารึกตำราที่วัดราชโอรสสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แต่ครั้งท่านยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความปรานีเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมแซมวัดนี้ใน พุทธศักราช ๒๓๖๔ ถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยหมู่นี้เป็น โกด ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น (พิมพ์ตาอักขระที่ปรากฏในแผ่นจารึก) หากบุทคลใครกันแน่ไม่สบายเพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานก็ดี ทำให้หิวโหยหาแรงไม่ได้ ให้ระลอตเตอรี่ไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้  ถ้าเกิดจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งห้า เทียรอีกทั้งห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน ดอกจัน แขนวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี แห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด พยาน ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเท่าเทียมทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลทรายก็ได้ น้ำแรมคืนก็ได้ กินแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งมวล ทำให้คลุ้มคลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลบำรุงกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนแผ่นจารึกแบบเรียนที่วัดพระเชตุพนสะอาดมังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ รวมทั้งคณะอาจารย์สถานศึกษาหมอแผนโบราณได้เก็บรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕  ในแบบเรียนยาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในพักนี้เป็น โกฐ ทั้งปวง เช่นศิลาจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะสันนิบาตอันบังเกิดเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะมีขึ้นแก่บุคคลใดดีแล้ว ก็ทำให้ลงดุจรับประทานยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิ้มไปพบสติมิได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นกำลัง ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจไม่ได้ขาด ถ้าเกิดเเลลักษณะเป็นดังที่กล่าวมาแล้วมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมอทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลกระจู๋ม จันทน์อีกทั้ง ๒ โกญสอ โกฐเขมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้ง ๒ ใบสันพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทแขนก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมต้มตามวิธีให้กิน แก้สันนิบาตอันบังเกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวอีกนัยหนึ่งดีรั่วนั้นหายยอดเยี่ยมนักฯสำหรับ คัมภีร์หมอแผนไทยแผนโบราณ ซึ่งสะสมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน กิตติแผ่กว้าง) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมดทั้งปวง อาทิเช่นยาแก้คอแห้งในคู่มือเล่ม ๓ ในขณะที่ว่าด้วยเสลดพิการและก็ยาแก้ ดังนี้ ยาแก้คอแห้งผาก แก้เสมหะเหนียว แก้คลื่นไส้ เอาโกฏอีกทั้ง ๕ เทียนทั้งยัง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ ประพรมไม่ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อาเจียนละลายน้ำลูกยอต้มรับประทาน
                     
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณท้องนา – ตำราเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจไพศาล ตามตำราของพระยายอดเยี่ยมศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นบิดา บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งปวง ตัวอย่างเช่น ยาเทวดานิมิตรในเล่ม ๔ ดังต่อไปนี้ ถ้าหากจะเอายาชื่อเทพนิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ สักขีพยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมสมุทร ๑๖ ส่วน เบ็ญจกูล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้กิน แก้เลือดปกติโทษอันเกิดขึ้นแม้กระนั้นกระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
ก็เลยมองเห็นได้ว่าหนังสือเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ แตกต่างไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกชนิดเป็นของที่มีเกิดในต่างชาติ และก็มีพ่อค้าฝรั่งนำเข้ามาขายในประเทศไทยช้านานแล้ว ขั้นต่ำก็ก่อนยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เพราะว่าในตำราเรียนแพทย์แผนไทยซึ่ง ตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม คือคัมภีร์โรคนิทาน รวมทั้งคู่มือมหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากมายก่ายกองหลายขนาน และก็ใหหลายขนานในแบบเรียนพระโอสถพระนารายณ์เอง แต่ว่าชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรเขียนคืออะไร มีที่มารวมทั้งความหมายเช่นไร นอกจากนี้เครื่องยาหมู่นี้บางประเภทเป็นยังไง มีมูลเหตุอย่างไรอย่างเป็นข้อโต้แย้งที่ยังหาบทสรุปไม่ได้
ที่มาของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังต่อไปนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลากหลายประเภท ตำราเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยผู้รอบรู้ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แม้กระนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) จึงน่าจะเป็นสาเหตุของการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แม้กระนั้น คำ โกฐ นี้แปลว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีหมายความว่า ไส้ ท้อง คำอีกทั้ง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร นอกเหนือจากนี้ คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ก็ให้ความหมายที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น
โกส แปลว่า ผอบ; มีความหมายว่าซูบผอมมาตราวัดความยาวพอๆกับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ แสดงว่า ๑๐ ล้าน
โกษ หมายความว่า อัณฑะ
หีบศพแปลว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลัง คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อรวมทั้งพิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรจะเขียนอย่างไรนั้น อาจสืบสาวหาที่มาของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้มากที่สุด เพื่อให้คงความหมายเดิมให้สูงที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งสิ้นเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีและก็ใช้กันมาในประเทศถิ่นเกิดและประเทศใกล้เคียง และก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่สื่อความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้ก็เลยน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะเหตุว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปแล้วก็การแพทย์แผนจีนทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาการแพทย์ด้านการแพทย์แล้วก็เภสัชกรรมแผนหมอแผนไทยมาแต่ว่าโบราณ แต่ว่าคำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ดังนั้น คำที่ออกเสียง โกด จึงน่าจะมีที่มาจากภาษาถิ่นใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในคู่มืออายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาประเภทหนึ่งในภาษาถิ่นของประเทศกัษไม่ระ และก็หนังสือเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาประเทศอิหร่านหรือเปอร์เซีย ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและเบงกาลีเป็น kut ภาษาทมิฬเป็น kostum หรือ goshtam ตำรายาไทยเรียกเครื่องยาชนิดนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) จึงได้ข้อยุติในชั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน แล้วก็คำนี้สื่อความหมายเช่นไร
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย จึงต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาเปอร์เซีย โดยเฉพาะคำในภาษาดังที่กล่าวถึงมาแล้วที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) หมอโอนามิภายหลังที่ได้บากบั่นค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นเวลานานหลายสิบปี เร็วๆนี้เองจึงได้เจอคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ ตำรายาแห่งการแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงข้อเสนอของที่ประชุมที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่หมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน แล้วก็นายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือมิได้กำหนดปีที่พิมพ์รวมทั้งสถานที่พิมพ์) ในหนังสือเรียนดังที่กล่าวมาข้างต้น ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังต่อไปนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
ก็เลยสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เปรียบเทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเปรียบเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมมากที่สุด รวมทั้งบอกคำจำกัดความที่ไม่อาจเป็นอย่างอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้คงจะเข้ามาสู่แว่นแคว้นไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน แล้วก็การแพทย์โบราณที่กรุงสยามคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายอย่าง ซึ่งแม้จะใช้เพลงปริมาณบางส่วน แต่ก็ทรงอำนาจสำหรับเพื่อการบำบัดโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนและเครื่องยาเทศหลากหลายประเภทในยาไทย การแสดงให้เห็นความคิดอันฉลาดปราดเปรื่องหลักแหลมของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างประเทศในยาไทย เครื่องยาพวกนี้หลายแบบเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ทั้งยัง ๕ โกษฐ์  ๗ โกษฐ์ ทั้ง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ นอกเหนือจากนั้นยังมีกดอีกหลายชนิดที่มิได้จะเข้าเอาไว้ในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของมูลเหตุ ตระกูล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนแล้วก็ใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากและก็เหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เมล็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากรวมทั้งเหง้าแห้ง
โกฐทั้ง  ๕ (เบญจโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยดังเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา ตำราสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แล้วก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแม้กระนั้นโบราณ นอกนั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากทั้งในอดีตแล้วก็ยาไทย
โกษฐ์   ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ จำพวก เป็นโกษฐ์ทั้งยัง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว และ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ประเภท แบบเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูก
โกษฐ์อีกทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยโกษฐ์๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีรวมทั้งโกษฐ์ท้อง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ชนิด ได้แก่ โกษฐ์กะกลิ้ง โกษฐ์กักกรา และก็โกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอติเตียนสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในไส้ แก้หนองใน ขับเมนส์ร้าย เพื่อช่วยทำให้นักเรียนวิชาเภสัชกรรมแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งหมดทั้งปวงได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ประเภทต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงเป็นลำดับดังต่อไปนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาเลวทรามลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกไว้ในชฎา
กะกลิ้งแล้วก็กรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามสาเหตุ
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels สกุล Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายประเภท ตัวอย่างเช่น แปลว่าผู้ที่มาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ชายน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าในที่นี้มีความหมายว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งตรง สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ ซม. แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ เซนติเมตร ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (เว้นเสียแต่รอบๆเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ เซนติเมตร โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ ซม. ใบเสริมแต่งมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดแตกต่างกัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ข้างล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ มิลลิเมคร ยาว ๔-๖ มิลลิเมตร สันด้านล่างดกแคบ ข้างๆมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่ว่ามี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชชนิดนี้มีเขตการกระจายจำพวกในป่าดิบ ตามเทือกเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของจีน คือบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชิญชวน (เสฉวน) และหยุยงนหนาน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร ออกดอกในมิ.ย.ถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลสำเร็จในเดือนกรกฎาคมถึงกันคุณยายน พืชชนิดนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกเอาไว้ในเมืองจีนมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และเวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง แบบอย่างทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ กิ้งก้าน หรือมากยิ่งกว่า ยาว ๑๕-๒๕ เซนติเมตร เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ ซม. มีแอนนูลัส ปลายมนและก็กลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นและก็จากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากแขนง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ เซนติเมตร ตอนบนดกตอนล่างเรียวเล็ก ส่วนมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากครึ้ม มีร่องแลกจุดหลายชิ้น ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสหวาน ฉุน รวมทั้งขมนิดหน่อย
ชาวจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆมากมาย เป็นรองก็แต่ชะเอม (licorice) แค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงแตกต่างเป็น รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากกิ่งก้านสาขาน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับประจำเดือน หมอแผนจีนใช้เครื่องยาจำพวกนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ดังเช่นว่า ยาขับรอบเดือน ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกประเภท แก้หวัด แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้เป็น ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น ของลับ เพื่อปฏิบัติผัวเจริญรวมทั้งเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย ตำราเรียนสมบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมหวน รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ในพิกัดโกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ ๗ รวมทั้งโกษฐ์ ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาครอคอยล (carvacrol) ฯลฯ นอกจากน้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกซิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ อาทิเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรมีความหมายว่าขาว ตำราเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก ป๋ายจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจี้ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากกว่า อาจแยกกิ้งก้านตรงปลาย มีกลิ่นหอมสดชื่นแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน เจ้าเนื้อสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขน หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่ปนรูปสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ เซนติเมตร ยาวถึง ๕๐ เซนติเมตร แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบข้างบนรถรูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบแต่งแต้มมี ๐-๒ ใบ เหมือนกาบ ป่องออกหุ้มช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางโอกาสถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบประดับย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกปนรูปแถบ ยาวแทบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกไม้มี ๕ กลีบ รูปไข่กลั
บันทึกการเข้า