รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - numtanf225611

หน้า: [1] 2 3 4
1
อื่น ๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2018, 03:17:36 PM »

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


รากพญายอ
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพร เสลดพังพอน (พญายอ)

2

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่พวกเราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักพื้นเมือง นิยมนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆและก็ยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้ช้ำใน และก็เพื่อช่วยบำรุงรักษาร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบทวีปเอเชียพวกเรานี้เอง ด้วยคุณประโยชน์ที่นานัปการ จึงทำให้มันเป็นยารักษาโรครวมทั้งตัวช่วยดูแลสุขภาพ ในตอนนี้เริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกนำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาในรูปของยาแคปซูล แล้วก็บัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในตระกูล Umbelliferae ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อท้องถิ่นถูกเรียกในชื่อที่นานัปการ อาทิเช่น ผักแว่น ผักหนอก รวมทั้งกะโต่ ฯลฯ  ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งไปตามพื้นดินในแนวยาว แก่ยืนยาวได้นานนับเป็นเวลาหลายปี การแตกรากและก็ใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบลำพัง มีรูปร่างราวกับไต จะออกเป็นกรุ๊ปตามข้อ ขอบใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงคละเคล้าแดง ผลแบน ออกเป็นดอกคนเดียวหรือช่อขนาดเล็กราวๆ 3-4 ดอก มีเอกเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น และก็รสที่ขมปนหวาน
คุณประโยชน์ของใบบัวบักที่นิยมนำมากิน
เราบางทีอาจคุ้นชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แม้กระนั้นในความเป็นจริงแล้วสมุนไพรชนิดนี้มีคุณประโยชน์สำหรับการรักษาอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องร่วง รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงรักษาสมอง แล้วก็ช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การกินใบบัวบกแบบใหม่ๆจะมีผลให้ร่างกายได้สารสำคัญหลากหลายประเภท ที่มักพบเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปขัดขวางการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมถอยสภาพของเซลล์และก็เยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยรีบการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก รวมทั้งเส้นเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าหากันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
คุณประโยชน์ของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานฯลฯดิบๆหรือเอามาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีสรรพคุณทางยาที่ไม่มีความแตกต่างกัน
เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดเมนส์ คนที่ต้องใช้สมองสำหรับในการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำเจริญ ช่วยลดความเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำดำเขียวแล้วก็ร่องรอยไม่ปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกจากนั้นคนที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น แล้วก็ลดการตำหนิดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลจากการวิจัย
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยได้เอ่ยถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับในการจำสิ่งต่างๆได้ดิบได้ดีขึ้น แล้วก็ช่วยความก้าวหน้าทำความเข้าใจทางสมอง และก็ด้วยคุณสมบัติพิเศษพวกนี้ทำให้มันแปลงเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดสอบในลูกหนู พบว่ามีความจำและการเล่าเรียนที่ดีขึ้น ส่วนในคน มีการทดสอบในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความรู้สำหรับการทำความเข้าใจที่ดีมากยิ่งกว่า ส่วนในคนวัยชราให้ทดสอบกินสารสกัดบัวบก 750 มก. ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า อีกทั้งความจำแล้วก็การเรียนรู้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดอารมณ์ผันแปร ทำให้ผู้สูงอายุมีอารมณ์เบิกบานมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้ทำการทดลองกับสตรีอายุประมาณ 33 ปี รับประทานสารสกัดบัวบก 500 มก. วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความเคร่งเครียด ความรู้สึกกังวลใจ แล้วก็ภาวะเศร้าหมองลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ เจอรูปแบบการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ข้างในสมองดำเนินงานเจริญขึ้น มีสารต่อต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท แล้วก็ต้านทานการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบกสามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เมล็ด หรือใบ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบประยุกต์ใช้สูงที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรที่จะเลือกใบที่โตเต็มที่และก็บริบูรณ์ ประยุกต์ใช้ตากแห้งป่นเป็นผงบรรจุลงในแคปซูลโดยประมาณ 500 มิลลิกรัม กินเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำอย่างละเอียดแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจนเข้ากันแล้วหลังจากนั้นกรองให้เหลือแต่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามถูกใจ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารอีกทั้ง 3 มื้อ ราว 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในแล้วก็แก้ช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นคนไข้โรคความดันโลหิตสูง ให้สามารถดื่มน้ำใบบัวบกทุกวี่วัน ต่อเนื่องกันราวๆ 7 วัน จะช่วยลดระดับความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เม็ดของบัวบกที่มีรสขมรวมทั้งเย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดอาการปวดหัว รวมทั้งแก้บิด

ข้อควรพิจารณาในการใช้ใบบัวบก
ก่อนรับประทานใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องตรวจสอบสุขภาพทางกายของตนก่อนว่ารากฐานแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือเปล่า เนื่องจากว่าสารบางชนิดในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้อาการของโรคกำเริบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
เนื่องจากว่าบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การรับประทานมากจนเกินไปจะมีผลให้สะสมภายในร่างกายจนกระทั่งรู้สึกหนาวมากเพิ่มขึ้นได้
หลบหลีกการกินใบบัวบกต่อเนื่องกันทุกวัน หรือรับประทานทีละมากมายๆเมื่อกินต่อเนื่องกันโดยประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะหยุดพัก 1 อาทิตย์ และหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมารับประทานใหม่
สำหรับคนที่รับประทานใบบัวบกสดๆติดต่อกันทุกวัน ควรจะกินในรูปร่างประมาณวันละ 3-6 ใบ ไม่สมควรเหลือเกินกว่านี้
แม้ร่างกายมีอาการอ่อนล้า เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นไม่ปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเดิน หลังจากการกิน ควรหยุดกินในทันทีรวมทั้งรีบเข้าพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มคนที่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่ควรรับประทานใบบัวบก เนื่องมาจากจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ใบบัวบกคือพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วไปตามท้องตลาด มีราคาถูก แม้กระนั้นมากไม่น้อยเลยทีเดียวด้วยคุณประโยชน์ทางยา ที่จะเป็นโอกาสในการรักษาโรคต่างๆแล้วก็ใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบัวบก

3

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในแบบเรียนยาไทยพูดว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
สมุนไพร เหงือกปลาหมอเป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นและใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งและมีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงกันข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกไม้จะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เม็ด จะสามารถพบบ่อยตามชายน้ำ ริมฝั่งคลองรอบๆปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่อง แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่เมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นทั้งยากินและต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างชัดเจน สำหรับผู้เจ็บป่วยโรคผิวหนังด้วย
วิธีปรุงยาแล้วก็วิธีการใช้ยาก็มีหลายวิธีเป็น
วิธีต้มยากินและก็อาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก่อนกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จำต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจะต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำปกติตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง ยามเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่หากมีเหงือกปลาแพทย์ไม่น้อยเลยทีเดียว บางทีอาจจะต้มยาเพื่อแช่ตลอดตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอ 5 คราวตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. คนแก่รับประทานครั้งละ 2 เม็ด เด็กอาจจะกินทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร ยามเช้า-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาย แม้กระนั้นหากเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันผิดพลาดก็จำเป็นต้องกินตลอดกาล

วิธีการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการร่อนเป็นผุยผงละเอียดราวกับแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร เด็กลดน้อยลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีคุณประโยชน์เยอะแยะ ได้แก่
-ราก มีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และก็ใช้ขับเสลด
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายแบบ โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการผอมโซ ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาไม่เหมือนกันออกไปอีก
-ทั้งยังต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกชนิด
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มรับประทานแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งผอง ผลกินเป็นยาขับเลือดระดู ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งยังต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาหมดทั้งตัว
- อีกทั้งต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะ
- ตำเอาน้ำดื่มกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงรับประทาน โรคเรื้อน คุดทะราด ไม่สบายจับสั่น
- ทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมโซเหลืองตลอดตัว กินแต่ละวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดให้งวดก็เลยยกลง กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นจนกระทั่งหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนหมดทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมตลอดตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาแพทย์" ทั้งยัง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ปริมาณเท่ากัน กะตามอยากได้ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้าตรู่ ช่วงเวลากลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นรับประทานแต่ละวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกประเภทหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 ชนิด หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่รู้อ่อนแรง
กินได้ 7 เดือน ผิวสวย
กินได้ 8 เดือน เสียงเพราะ
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหากผิวแตกหมดทั้งตัวหายได้ ทั้งหมดที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรดูถูกเหยียดหยาม รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
สรรพคุณกระเทียม
ปรับความดันเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ก็เลยเหมาะกับคนไข้เบาหวาน
บำรุงเลือด คุ้มครองป้องกันอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจ
ลดท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานได้ดีขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
คุ้มครองหวัด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ แล้วก็ลดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 ผลดีดีๆที่เราอยากให้คุณทานทุกๆวัน
แนวทางทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิซินในกระเทียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ตี หรือบด จึงควรหั่น สับ ทุบ หรือบดกระเทียมก่อนนำมาประกอบอาหาร 5-10 นาที โดยสารอัลลิซินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน โดยเหตุนี้จะทานสด หรือจะทำอาหารในน้ำมันก็ช่างเถอะ
จำนวนกระเทียมที่ควรทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ประมาณ4 กรัมต่อวัน แม้กระนั้นไม่ควรทานมากเกินกว่านี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน เพราะเหตุว่าจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดแข็งช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดรอยแผล
แนวทางเลือกซื้อกระเทียมมาปรุงอาหาร
ควรที่จะเลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น รวมทั้งแม้อยากได้รสชาติของกระเทียมแบบแรงๆควรจะเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วอาหารมื้อต่อไปก็บอกให้คนประกอบอาหารพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แต่ระวังสักนิด หากทานกระเทียมมากๆโดยเฉพาะกระเทียมสด อาจมีลักษณะของการเจ็บคอภายหลัง และอย่าลืมระมัดระวังกลิ่นปากกันด้วยค่ะ เดี๋ยวจะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกชนิดรับประทานหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ภายนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆหุ้มอยู่หลายชั้น ข้างในหัวประกอบแกนแข็งตรงกลาง ด้านนอกเป็นกลีบเล็กๆปริมาณ 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนแล้วก็ใส  มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง มีกลิ่นฉุนจัด
ลำต้นและหัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศไทย แต่นิยมนำมาปลูกกันมากทางภาคเหนือรวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีภาวะดินแล้วก็สภาพการณ์อากาศที่เหมาะอย่างยิ่งกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเติบโตเจริญ เห็นผลผลิตสูงรวมทั้งมีรสชาติที่ดีมากกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกแล้วก็ใหญ่ยาว สูง 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 ซม. มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูห่อหุ้มอยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปมาก ใบโดดเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 ซม. ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบและก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นแล้วก็เชื่อมชิดกันเป็นวงหุ้มรอบใบที่อ่อนกว่าและก้านช่อดอกทำให้มีการเกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวแล้วก็สีจะเบาๆจางลงจนถึงถึงโคนใบ ส่วนที่หุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆเยอะๆอยู่ปนเปกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีปริมาณน้อย มีใบแต่งแต้มใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมห่อช่อดอกระหว่างที่ยังตูมอยู่ แม้กระนั้นเมื่อช่อดอกบานใบเสริมแต่งจะเปิดอ้าออกแล้วก็แขวนลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านโดด เรียบ ทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือชิดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูรวมทั้งก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือค่อนข้างจะกลม มี 3 พู เม็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากมายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งภาคเหนือ แม้กระนั้นกระเทียมที่โด่งดังว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นแรง เป็นต้นว่ากระเทียมจากจังหวัดศรีสะผม
แนวทางเลือกซื้อกระเทียม
การเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารณง่ายๆเป็น เลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญหากจำเป็นต้องทำอาหารที่ต้องการกลิ่นฉุนๆต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กแค่นั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะมีความเห็นว่ากระเทียมมีคุณประโยชน์และก็คุณประโยชน์มากไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นฉุน แม้กระนั้นก้ไม่ยากเกินไปที่จะกินนะครับ ด้วยเหตุนั้นอย่าลืมเพิ่ข้อควรตรึกตรองสำหรับการรับประทานกระเทียมโดยยิ่งไปกว่านั้นบุคคลในกรุ๊ปตั้งแต่นี้ต่อไป
ผู้ที่กำลังท้องหรือคนที่อยู่ในตอนให้นมบุตร การรับประทานกระเทียมในช่วงการตั้งท้องค่อนข้างไม่เป็นอันตรายถ้ากินเป็นอาหารหรือในปริมาณที่เหมาะสม แต่ว่าบางทีอาจไม่ปลอดภัยแม้รับประทานกระเทียมเป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้วางใจเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่บริเวณผิวหนังในช่วงการมีท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การกินกระเทียมในปริมาณที่เหมาะสมและก็ในระยะสั้นๆอาจไม่มีอันตรายสำหรับเด็ก แต่ว่าการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจส่งผลให้กำเนิดอาการแสบร้อนรวมทั้งระคายเคือง
คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือการย่อยของอาหาร อาจจะเป็นผลให้เกิดการระคายเคืองที่เดินอาหารได้
ผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลดลงมากยิ่งกว่าปกติ
ผู้ที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรจะหยุดกินกระเทียมก่อนที่จะมีการผ่าตัดอย่างต่ำ 2 สัปดาห์เนื่องจากว่าอาจก่อให้เลือดออกมากและมีผลต่อความดันโลหิตในระหว่างการผ่าตัด และก็ผู้ที่มีภาวะเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติไม่ควรรับประทานกระเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเทียมสด เพราะว่าบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค อาทิเช่น ไอโซไนอะซิด เพราะว่ากระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาภายในร่างกายและก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพหลักการทำงานของยา รวมทั้งไม่สมควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังนี้
ยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์
ยาคุมกำเนิด
ยาต่อต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต่อต้านเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านครับ สรรพคุณแล้วก็คุณประโยชน์ของกระเทียมนั้นร้ายมากจริงๆ http://www.disthai.com/

5

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ภายนอกเหง้าเป็นน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาทำอาหารเพราะเหตุว่าส่งกลิ่นหอม ยิ่งกว่านั้น ขิงยังใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ และก็เครื่องสำอางทั้งหลายแหล่เช่นเดียวกัน ด้านประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลายประเภทมาอย่างช้านาน ตัวอย่างเช่น โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารอย่างท้องเสีย มีก๊าซในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อ้วก ไม่อยากอาหาร
คุณลักษณะของขิงเชื่อว่าประกอบด้วยสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอาเจียนรวมทั้งลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าโดยมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารและก็ลำไส้ และก็สารนี้บางทีอาจส่งผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอ้วกด้วย แต่ว่าการสันนิษฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วยังคลุมเครือนัก และคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยช์จากขิงต่อสุขภาพที่พวกเราเชื่อกันนั้น ในเวลานี้ด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลแจกแจงไว้ดังนี้
การรักษาที่อาจได้ผล
อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาต้านไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือเอดส์ สรรพคุณทุเลาอาการอ้วกอาเจียนของขิงอาจมีประโยชน์ต่อคนไข้โรคนี้ที่มักได้รับผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาคนเจ็บจำนวน 102 คน แบ่งให้กลุ่มหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในตอน 30 นาทีก่อนที่จะได้รับยารักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องอย่างยาต่อต้านรีโทรไวรัส เป็นเวลาทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนที่เกิดขึ้นจากการดูแลและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการคลื่นไส้อ้วกภายหลังการผ่าตัด ขิงอาจช่วยทุเลาอาการอาเจียนและอ้วกจากการผ่าตัดได้อย่างเดียวกัน โดยการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในตอน 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอาเจียนอ้วกที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 24 ชั่วโมงหลังได้รับการผ่าตัด
งานวิจัยหนึ่งทดลองแบ่งผู้ป่วยจำนวน 122 รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม รวมทั้งอีกกรุ๊ปได้รับแคปซูลขิง 500 มก.แต่ว่าแบ่งให้ 2 ครั้งก่อนผ่าตัด ซึ่งผลพบว่าคนไข้ในกรุ๊ปหลังมีอาการคลื่นไส้อ้วกน้อยครั้งรวมทั้งมีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า โดยการค้นคว้านี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้คุณภาพสูงสุดเมื่อรับประทานเสมอๆแล้วก็เป็นประจำโดยแบ่งจำนวนการใช้
ยิ่งกว่านั้น การทดลองทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองป้องกันอาการอ้วกในผู้ป่วยราว 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งผอง แต่ทว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับยาลดอ้วกคลื่นไส้นั้นอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก แล้วก็การใช้ขิงกับผู้ป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการอาเจียนคลื่นไส้น้อยอยู่และจากนั้นก็อาจไม่เป็นผลด้วยเหมือนกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ดังเช่นว่า อาเจียน อาเจียน หรือเวียนศีรษะ ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณสมบัตินี้เป็นการทดลองในหญิงที่แก่ท้องต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 อาทิตย์ จำนวน 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกๆวันนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นแม้ว่าจะแปลงการทานอาหารแล้วก็ตาม ภายหลังจากกินสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเสมอกันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลสรุปได้ทำให้เห็นว่าขิงบางทีอาจสามารถนำมาใช้ผลดีในฐานะการดูแลและรักษาลู่ทางต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้วิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการกินขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความร้ายแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงท้องที่มีลักษณะอาการแพ้ท้องได้ แต่การใช้ขิงสำหรับคุณประโยชน์ด้านนี้อาจเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้คลื่นไส้คลื่นไส้ นอกเหนือจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อจำกัดและเจอผลที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดลองที่ชี้ว่าขิงอาจมิได้มีส่วนช่วยสำหรับการลดอาการแพ้ท้องเช่นกัน
อาการเวียนหัวศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งการคลื่นไส้นี้บางทีอาจทุเลาให้ได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานค้นคว้าที่ทดสอบด้วยการให้ผู้ที่มีอาการบ้านหมุน รวมทั้งตากระเหม็นตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิกินผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก แต่ว่ามิได้ช่วยลดระยะเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการศึกษาเล่าเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดอาการเจ็บที่เกิดขึ้นจากโรคข้อเสื่อม จากการทดสอบหนึ่งที่ให้คนเจ็บกินสารสกัดจากขิงชนิดหนึ่ง (Zintona EC) ในจำนวน 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อหัวเข่าภายหลังจากการดูแลและรักษาเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าให้ผลลัพธ์สำหรับเพื่อการช่วยลดลักษณะของการเจ็บขณะยืน อาการเจ็บหลังเดิน และก็อาการข้อติด
นอกจากนั้น มีการศึกษาเทียบสมรรถนะระหว่างขิงแล้วก็ยาแก้ปวด โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายรวมทั้งข้อหัวเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มิลลิกรัมทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงได้ผลบรรเทาอาการปวดได้เท่ากันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง แล้วก็ยังมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่เสนอแนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและก็ส้มอาจช่วยทุเลาอาการปวดและก็อ่อนเพลียที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของคนเจ็บที่มีอาการเจ็บหัวเข่าได้ด้วย
อาการปวดระดู เว้นเสียแต่อาการปวดจากโรคข้อเสื่อม การศึกษาบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดเมนส์ เช่น การทดสอบในนักศึกษามหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงทีละ 500 มก. วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีรอบเดือนสม่ำเสมอไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีเมนส์ รวมยอดเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของลักษณะของการปวดรอบเดือนได้อย่างเป็นจริงเป็นจังด้านการศึกษาเทียบความสามารถของขิงรวมทั้งยาลดลักษณะของการปวดเมนส์อย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มิลลิกรัม ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละประเภทในจำนวน 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีเมนส์ คำตอบปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยแรกเป็นขิงมีคุณภาพทุเลาความร้ายแรงของอาการปวดระดูไม่แตกต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การดูแลและรักษาที่อาจไม่เป็นผล
อาการเมารถรวมทั้งเมาเรือ นับเป็นสรรพคุณของขิงที่มีการกล่าวถึงกันมาก แต่ขิงบางครั้งอาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แต่สำหรับเพื่อการเวียนหัวอ้วกที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้น การค้นคว้าโดยมากบอกว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง อาทิเช่น การแบ่งกลุ่มให้เด็กนักเรียนนายเรือ 80 คนที่ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางสมุทรที่มีคลื่นแรง กินเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอก ปรากฏว่ากลุ่มที่รับประทานขิงนั้นมีลักษณะคลื่นไส้และก็เวียนหัวลดลงจริงแต่อยู่ในระดับน้อยเพียงแค่นั้น หรือในอีกงานวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในจำนวน 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มก. ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับการปกป้องอาการเมารถหรือหลักการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวเนื่องกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่ประการใด
การดูแลและรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการเจาะจงสมรรถนะ
อาการอาเจียนอาเจียนจากกระบวนการทำเคมีบำบัดรักษา อีกหนึ่งคุณประโยชน์คือลดอาการอ้วกและอาเจียน ซึ่งมีการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ว่าหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในผู้เจ็บป่วยที่รับเคมีบรรเทานั้นยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้ใช่หรือไม่ การเรียนรู้หนึ่งที่ชี้ถึงคุณประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้คนป่วยรับประทานแคปซูลขิงที่มีขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดรักษานานต่อเนื่องตรงเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการรักษาน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กินแคปซูลขิง แม้กระนั้นเห็นผลได้ชัดในกรุ๊ปที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับได้ผลน้อยกว่า หมายความว่าการกินขิงในปริมาณมากจึงอาจมิได้ทำให้อาการอ้วกดียิ่งขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
แม้กระนั้น มีหลักฐานที่โต้เถียงข้อเกื้อหนุนดังที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งเป็นงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เปิดเผยว่าการกินขิงมิได้มีคุณภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้ ดังนี้ ผลการศึกษาวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีมูลเหตุมาจากปริมาณขิงที่ใช้ทดลองนั้นต่างกัน รวมถึงขณะที่เริ่มรักษาด้วย ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลไหมอาจจะต้องมีการรับรองเสริมเติมถัดไป
โรคเบาหวาน คุณลักษณะของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนเจ็บเบาหวานในปัจจุบันยังมีผลการศึกษาที่ไม่แน่นอน งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และก็สารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในผู้ป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 และก็อาจช่วยลดการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางจำพวกจากเบาหวานได้ ในขณะเดียวกัน มีการค้นคว้าอื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยบอกว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งผลการศึกษาที่แตกต่างกันนั้นอาจมาจากปริมาณขิงหรือช่วงเวลาที่คนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโรคเบาหวานในแต่ละการทดสอบนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนสมรรถนะของขิงในผู้ป่วยที่มีอาการของกินไม่ย่อยจำนวน 11 คน โดยให้กินแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการละของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยของกินแล้วก็มีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ทว่าการรับประทานขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในไส้ อย่างไรก็ดี ผู้ร่วมการทดลองนี้มีปริมาณน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจระบุได้อย่างแจ่มแจ้งว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่นอนเพียงใด
อาการเมาค้าง เช้าใจกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการเมาค้างซึ่งได้ผลข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับคุณประโยชน์ข้อนี้มีงานศึกษาเรียนรู้เมื่อก่อนที่แนะนำว่าการผสมขิงกับเปลือกข้างในของส้มเขียวหวาน รวมทั้งน้ำตาลทรายแดงก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการเมาค้างในวันหลัง รวมถึงอาการอาเจียน อ้วกและท้องเดิน อย่างไรก็ดี การศึกษาดังที่ได้กล่าวมาแล้วยังถือว่าไม่แน่ชัดอยู่มากและไม่บางทีอาจรับรองได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากขิงจริงๆหรือส่วนผสมอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้คนเจ็บที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงรับประทานแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ทีละ 1 กรัม คำตอบระบุว่าเมื่อเทียบกับคนป่วยกลุ่มที่กินยาหลอก ขิงมีคุณภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะได้ผลดีจนกระทั่งสามารถประยุกต์ใช้รักษาคนไข้ภาวการณ์นี้ได้ไหมคงจำต้องรอคอยการเรียนในอนาคตที่ชัดเจนกันต่อไป
ลักษณะการเจ็บกล้ามข้างหลังออกกำลังกาย คุณลักษณะด้านการบรรเทาปวดแล้วก็ลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดลักษณะของการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยหรือไม่นั้นยังคงไม่ชัดแจ้งและเป็นที่โต้แย้งกันอยู่เหมือนกัน จากการทดสอบหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมรับประทานขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างสม่ำเสมอนาน 11 วัน พบว่าขิงสดและก็ขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนกระทั่งระดับมาก
ทว่าอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งกลับพบผลสรุปตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ทำกิจกรรมออกกำลังกายยืดหดกล้ามเหมือนกัน รับประทานขิง 2 กรัมในช่วง 1 วันแล้วก็ 48 ชั่วโมงภายหลังจากการออกกำลังกาย พบว่ามิได้นำมาซึ่งการทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการออกกำลังกายลดน้อยลง แม้กระนั้นผู้ศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานขิงอาจช่วยทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อค่อยๆดีขึ้นในวันแล้ววันเล่า แม้อาจมองไม่เห็นผลได้ทันที
อาการปวดหัวไมเกรน มีการเรียนรู้กับคนป่วย 100 คน ที่เคยมีอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

6

น้ำมันเหลือง
ส่วนประกอบของสินค้า "น้ำมันเหลืองสมุนไพรมี

วิธีการใช้สินค้า "น้ำมันเหลืองสมุนไพร

  • ใช้ดม ใช้ทาแล้วก็นวด ทุเลาอาการต่างๆ
สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ "น้ำมันเหลืองสมุนไพร ตำรับชาววัง"


บรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัด

  • แก้วิงเวียนหัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
  • แก้เคล็ดปวดเมื่อย ฟกช้ำ
  • ทาถอดพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปวดบวม
  • ทาท้องเพื่อขับลมด้านในท้อง
  • ทาแผลมีดบาด ไฟใหม้ เลือดจะหยุดในทันทีและแผลจะหายไวขึ้น
  • ทาแก้ผื่นผื่น ตุ่มคัน แผลพุพอง เป็นหนอง
  • ทาแล้วช่วยทำให้จิตใจสงบ ช่วยบรรเทาเครียด
  • ทาก่อนนอนช่วยให้หลับง่ายมากยิ่งขึ้น
  • ทาเช็ดนวดฝ่าเท้า ไล่เลือดลม
ประโยชน์ของการนวดน้ำมัน
นวดจริงเป็นการกระตุ้นเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อช่วยเหลือสุขภาพรวมทั้งฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งสิ้น. น้ำมันนวดถูกวางแบบมาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในระหว่างนวด และก็ในเวลาเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้ผ่อนคลายมากที่สุดสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ. อ่านต่อไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมันแล้วก็บรรเทาร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดชื่นบาน.
เมื่อมาถึงการนวดน้ำมันเหลือง, มีหลายร้อยปิดตัวเลือกที่แตกต่างกันให้เลือก. คุณได้อย่างอิสระสามารถเลือกจากจำนวนมากน้ำหอมแล้วก็สีที่ต่างกันเพื่อให้บริการ. น้ำมันนวดบำบัด, น้ำมันร้อน, น้ำมันนวดกระตุ้นความรู้สึก, น้ำมันหอม
จะสามารถพบได้ในตลาดน้ำมันนวดเพื่อให้คุณสามารถเลือกที่เยี่ยมที่สุดสำหรับความอยากได้รวมทั้งความจำนงของคุณ.
สัมผัสของผู้คนสามารถมีการรักษาและก็พลังความมีชีวิตชีวาสำหรับผิวแล้วก็นวดน้ำมันออกมาจากผิวนุ่มและเรียบ. นอกจากความรู้สึกสบาย thei พวกเขาถ่ายทอด, น้ำมันนวดนอกจากนี้ยังมีทางที่น่าแปลกที่ช่วยทำนุบำรุงผิวของคุณรวมทั้งกำจัดจุดแห้งบนผิวของคุณ. อย่างไรก็แล้วแต่, ข้างหลังการนวด, จะเสนอแนะให้ใช้เวลาอาบน้ำที่บรรเทาเพื่อล้างน้ำมันออกมาจากร่างกายของคุณ. น้ำ จะยังช่วยผิวรูขุมขนจะเปิดก็เลยส่งเสริมการดูดซึมของน้ำมันนวดเข้าสู่ผิวของคุณ. ลองดูกันประโยชน์ต่อสุขภาพที่สำคัญของการนวดน้ำมันผ่อนคลาย.
ลดการ ความเคร่งเครียด
น้ำมันเหลือง เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมมาก ลดความเคร่งเครียด และความตึงเครียดที่มีการสะสมภายในร่างกายของคุณในระหว่างวันที่อ่อนล้า.
น้ำมันนวดน้ำมันหอมระเหยที่มีน้ำมันหอมระเหยที่สงบประสาท, ช่วยให้คุณผ่อนคลายแล้วก็กำจัดความนึกคิดแง่ลบที่สะกิดความเคร่งเครียด.
สุภาพ, สัมผัสการดูแลการแสดงในงานนวด, ช่วยให้คุณ รักษา และคืนจิตวิญญาณและก็ความสมดุลทางอารมณ์ของคุณ.
เสริมการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
หนึ่งในผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของน้ำมันเหลืองนวด ซึ่งมันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและก็ในเวลาเดียวกันจะช่วยลดความดันเลือดซึ่งเป็น น.
สาเหตุ ajor สำหรับผู้ที่ประสบเจอกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ ความดันโลหิตสูง.
นวดน้ำมันที่เยี่ยมที่สุดของคุณบรรเทาร่างกายและช่วยเหลือการนอนหลับที่ดียิ่งกว่าสำหรับวัน.
ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยปวดร้าวทรมาณจากความผิดปกติของการนอนต่างๆได้มองเห็นการปรับปรุงแก้ไขในนิสัยการนอนของพวกเขาข้างหลังการดูแลและรักษาด้วยการนวดผ่อนคลาย. น้ำมันเหลืองนวดกระตุ้นจิตใจและก็จิตวิญญาณ การบำบัด, ด้วยเหตุผลดังกล่าวคนเป็นจำนวนมากมายมีประสบการณ์การนอนลึกและพักมากเพิ่มขึ้น.
1.การนวดน้ำมันเหลืองจะเข้าไปช่วยกระตุ้นรูปแบบการทำงานของระบบประสาท ให้ดำเนินการได้ดิบได้ดีเพิ่มมากขึ้น ลดอาการตึงเครียดให้พวกเราบรรเทาจากการความเมื่อยล้ารวมทั้งความอ่อนล้าสะสม
2.การนวดน้ำมันเหลือง จะเข้าช่วยการกระตุ้นการทำงานของเลือด ให้ดำเนินงานได้ดิบได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมทั้งสามารถหล่อเลี้ยงออกซิเจนและก็สารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน คุ้มครองโรคต่างๆรวมทั้งลดระดับความดันเลือดก้าวหน้าด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมบำรุงรวมทั้งฟื้นฟูระบบกล้าม ข้อต่อต่างๆในร่างกายให้ดำเนินงานเจริญและก็มีประสิทธิภาพเยอะขึ้น
4.เพิ่มความชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดพิษ ทั้งยังภายในร่างกายรวมทั้งสภาพผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนชุ่มชื้น ดูมีน้ำมีนวลแล้วก็ชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
5.ช่วยในประเด็นการนอนหลับให้ดีมากยิ่งกว่าเดิม ผ่อนคลายสมองและร่างกายต่างๆมีผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนสนิทได้ดียิ่งไปกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากนั้นการนวดน้ำมันยังมีคุณประโยชน์อีกหลายแบบต่อสภาพทางด้านร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นลู่ทางแก่คนรักสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม
ลดลักษณะของการปวดหัวไมเกรน
     สำหรับคนที่เคยทรมานจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่หลายครั้ง แพทย์ก็ได้ชี้แนะให้ทดลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เนื่องจากว่าจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างๆของโรคไมเกรน และก็นอนหลับได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ
น้ำมันเหลือง อาการปวดข้างหลัง เป็นอาการที่ทุกคนจำเป็นต้องเคยพบเจอ ซึ่งเพียงพอปวดหลังขึ้นมาทีไรเราก็ต้องการจะนอนพักผ่อน หรือไม่ก็ไปนวดผ่อนคลายอาการปวดเมื่อย ทั้งๆที่จริงแล้วอาการปวดข้างหลังบางทีอาจจะมิได้มีสาเหตุมาจากลักษณะของการปวดปวดเมื่อยกล้ามเพียงเท่านั้น แต่ว่ายังอาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆได้อีกมากมาย เช่นที่เราจะพาทุกคนไปศึกษาที่มาของอาการปวดข้างหลังด้านขวา ว่ามีสาเหตุจากอะไรและอันตรายหรือไม่ เพื่อจะได้ทราบเท่าทันอาการเจ็บป่วยของร่างกาย

7

น้ำมันนวดสมุนไพร
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมัน
น้ำมันวด ถือเป็นหนึ่งในแนวทางบำบัดรักษาความตึงเครียด ผ่อนคลายจิตใจ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทุเลาความเมื่อนล้า นอกนั้นคุณคุณลักษณะของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดที่ผสมอยู่ในน้ำมันนวดตัวของพวกเรานั้นนังสามารถทุเลาอาการต่างๆของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ที่ช่วยเรื่องระบบฟุตบาทหายใจ บรรเทาอาการหวัดคัดจมูกเมื่อเวลาสูดดม หรือเมื่อผสมเข้ากับน้ำมันก็จะสามารถช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายผิว ที่ช่วยคุ้มครองแมลงรบกวน เป็นต้น
การนวดน้ำมันเป็นวิธีสำหรับในการดูแลสภาพผิวรวมทั้งสุขภาพที่ขอแนะนำเลย เป็นส่วนใหญ่จะการนวด ที่สกัดมาจากสมุนไพรและก็พืชต่างๆโทนร้อนพอสมควร ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย โดยการนำสารสกัดกลิ่นและก็เนื้อน้ำมัน พวกนั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกาย ด้วยกลิ่นหอมยวนใจและก็แล้วก็สัมผัสของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างของร่างกาย ลดความเครียด ทำให้เราผ่อนคลาย รวมไปถึงช่วยเพิ่มความชื้นและก็ผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้จ้ะเราจะพาไปดูคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมันกันว่า มีประโยชน์ด้านใดบ้าง
1.การนวดน้ำมันจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ให้ดำเนินงานได้ดิบได้ดีมากขึ้น ลดอาการเคร่งเคลียดให้พวกเราผ่อนคลายจากการความอ่อนแรงและความอ่อนล้าสะสม
2.น้ำมั่นนวด กระตุ้นการทำงานของโลหิต ให้ดำเนินการได้ดิบได้ดีมีประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้นและก็สามารถหล่อเลี้ยงออกสิเจนและก็สารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างสมบูรณ์ ปกป้องโรคต่างๆรวมถึงลดระดับความดันโลหิตได้ดิบได้ดีด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมและก็ฟื้นฟูระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆในร่างกายให้ปฏิบัติงานเจริญแล้วก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดสารพิษ อีกทั้งภายในร่างกายรวมทั้งภาวะผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนเปียกชื้น มองเปล่งปลั่งแล้วก็ชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
5.ช่วยในหัวข้อการนอนให้ดีขึ้นกว่าเดิม บรรเทาสมองและร่างกายต่างๆส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างดีเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านี้การนวดน้ำมันยังเป็นประโยชน์อีกหลายแบบต่อสภาพทางด้านร่างกาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่องทางแก่คนรักสุขภาพได้เป็นอย่างดีลดลักษณะของการปวดหัวไมเกรนสำหรับผู้ที่เคยทรมาทรกรรมจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง แพทย์ก็ได้ชี้แนะให้ทดลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เพราะจากผลการศึกษาเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า คนที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 อาทิตย์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างๆของโรคไมเกรน รวมทั้งนอนได้อย่างสนิทขึ้นด้วยค่ะ


ทุเลาอาการกล้ามอักเสบจากการออกกำลังกาย


          ในตอนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะได้รับผลกระทบเป็นอาการปวดเมื่อย หรือกล้ามเนื้ออักเสบเป็นของแถม ซึ่งการเรียนของ Buck Institute for Research on Aging and McMaster University in Ontario, Canada ก็ได้เผยวิธีทุเลาอาการว่า ให้ลองไปเอนหลังรับบริการนวดตัวดูบ้าง เนื่องจากว่าการนวดจะช่วยคลายกล้ามที่เคร่งเคลียดจากการบริหารร่างกายก้าวหน้าพอๆกับการกินยาคลายกล้ามอย่างไรยังงั้นเลยล่ะ
การนวด


ดูเด็กขึ้น


          ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องตรากตรำแอ๊บแบ๊วกระชากวัยอีกต่อไป เพราะเพียงไปสปาให้เขานวดๆบีบๆร่างกายอยู่บ่อยๆก็สามารถทำให้พวกเรามองเด็กขึ้นได้แล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็ได้ชี้แจงเพิ่มว่า การขัดหน้าหรือนวดหน้า รวมไปถึงนวดตัว เป็นการกระตุ้นให้เลือดในร่างกายไหลเวียนดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย ทั้งการนวดยังช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมท่อน้ำเหลือง ให้กำจัดพิษที่อยู่ใต้ผิวหนังให้หมดไป ทำให้สารอาหารและก็วิตามินต่างๆซึมไปสู่เซลล์ผิวเจริญขึ้น ช่วยทำให้ผิวมองมีชีวิตชีวาเต่งตึงได้อีกที รวมถึงกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบๆผิวหน้าได้อีกด้วยนะ


คุ้มครองปกป้องอาการ PMS


          ผู้หญิงทุกคนอาจจะรู้ดีว่าอาการ PMS ก่อนมีเมนส์นั้นสร้างความทรมาทรกรรมให้กับเราได้มากมายแค่ไหน แต่ว่าวันนี้เราไม่ต้องวิตกกังวลกับอาการพวกนี้อีกต่อไป เพราะว่าผลการค้นคว้าของ Touch Research Institute and University of Miami Medical School พบว่า การนวดตัวสามารถป้องกันอาการใกล้กันทุกชนิดในเวลาที่สตรีมีรอบเดือนได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดข้างหลัง ปวดท้อง ตัวบวม น้ำหนักขึ้น หรืออาการหงุดหงิดไม่พอใจ แต่วิธีนวดบางทีก็อาจจะได้ผลดีกับผู้หญิงที่แก่ตั้งแต่ 19-45 ปี แค่นั้นนะคะ
นวดแผนไทย

  • ลดอาการข้างๆของโรคมะเร็ง ผลการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเผยว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ขยายที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนหลับได้ดิบได้ดีขึ้น ทุเลาลักษณะของการเจ็บปวด รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เผยว่า คนเจ็บโรคมะเร็งระยะแพร่ไป จะทรมานจากลักษณะการเจ็บปวดลดน้อยลง คลื่นไส้น้อยครั้ง หรือไม่อาเจียนเลย รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น ความดันดีมากยิ่งกว่าเดิม และเครียดจากลักษณะการป่วยน้อยลง ภายหลังได้รับการบำบัดด้วยวิธีการนวด
  • บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง


          ผู้ชำนาญทางด้านกายภาพบำบัดรักษาได้ชี้แจงถึงประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังว่า คนที่มีอาการปวดเรื้อรัง อาทิเช่น ปวดตามข้อ โรคข้ออักเสบ และก็ลักษณะของการปวดปวดเมื่อยเรื้อรังอื่นๆจะคลายลักษณะของการเจ็บปวดเหล่านี้ลงไปได้มาก หลังจากได้รับบริการนวดอย่างถูกต้องต่อเนื่องกันเพียงแต่ 2-3 ครั้งเท่านั้นเอง เพราะเหตุว่าการนวดได้อย่างถูกจุด จะช่วยทุเลาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆได้อย่างเร็ว จึงสามารถบรรเทาลักษณะของการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้อย่างทันใจนั่นเองจ้ะ
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือก[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด[/url]ขึ้นกับการใช้งาน และก็สรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละชนิด โดยส่วนใหญ่น้ำมันเบื้องต้นที่นิยมเอามาผสมทำน้ำมันนวด อาทิเช่น น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงกว่าน้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ และก็ทำลายของเสียที่รังแกเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นอกเหนือจากนั้นน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสุขภาพ อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มกระชุ่มกระชวย โดยดังนี้น้ำมันแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติ รวมทั้งคุณประโยชน์ที่ต่างๆนาๆ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามการใช้แรงงาน

8

[url=http://www.disthai.com/16941074/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-]งาขาว[/url][/size][/b]
ชื่อสมุนไพร งาขาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน นีโซไอยู่มั้ว (จีน) ซะติด ซะเจี่ย (เมื่อน)
ชื่อสามัญ Sesame seeds (white)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Sesamum  orientale Linn.
วงศ์ PEDALIACEAE
ถิ่นกำเนิด
งาขาวมีบ้านเกิดเมืองนอนเช่นเดียวกันกับ งาดำเป็นงาขาวเป็นไม้ล้มลุกที่มีมาแต่ว่าโบราณ มีบ่อเกิดในแถบประเทศเอธิโอเปีย ถัดมาก็ถูกนำเข้าไปยังอินเดีย จีน รวมถึงแถบแอฟริกาเหนือรวมทั้งเอเชียใต้ ในราวโดยประมาณ 2000 ปี ก่อนคริศตกาลรวมทั้งในศตวรรษที่ 17 ได้ถูกนำเข้าไปในทวีปอเมริกาส่วนในประเทศไทย งา ก็เป็นที่รู้จักกันมาช้านาน ซึ่งนำมาใช้ผลดีได้อีกทั้งทางยา อาหาร และเครื่องแต่งหน้า
ลักษณะทั่วไป
งาขาว เป็นไม้ล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรงถึงยอด สูงโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นไม่แตกกิ่งกิ่งก้านสาขา แต่ว่าบางชนิดอาจมีการแตกกิ่งกิ้งก้าน ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ เป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้นๆปกคลุมดก ลำต้นมีร่องยาวตามความสูงของลำต้น เปลือกลำต้นบาง สีเขียวเข้มหรือมีสีอมม่วง สามารถดึงลอกเป็นเส้นได้
ใบงาขาว ออกเป็นใบลำพัง เรียงตรงข้ามกันตามความสูงของลำต้น มีก้านใบทรงกลมสีเขียวหรือสีม่วงแดง ยาวประมาณ 5 ซม. ส่วนแผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปหอกยาว กว้างราวๆ 3-5 ซม. ยาวโดยประมาณ 8-15 เซนติเมตร โคนใบมน เป็นฐานกว้าง และก็ค่อยเรียวลงจนปลายใบแหลม แผ่นใบมีสีเขียวสด มีร่องตามเส้นแขนงใบ ขอบใบเรียบหรือเป็นหยัก
ดอกงาขาวเป็นดอกโดดเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มรอบๆซอกใบ 1-3 ดอก ประกอบด้วยก้านดอกสั้น โดยประมาณ 3-5 มม. ต่อมาเป็นกลีบรองดอกสีเขียว ปริมาณ 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันห่อหุ้มฐานดอก ถัดมาเป็นกลีบที่มีลักษณะเป็นกรวยยาว กลีบดอกอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่หรือบานจะมีสีขาว ยาวเป็นทรงกรวย ราว 4-5 เซนติเมตร ปลายกลีบห้อยลงดิน และก็แยกออกเป็น 2 กลีบหมายถึงกลีบล่างที่ยาวกว่า รวมทั้งกลีบบนที่มีปลายหยักเป็น 3 แฉก ต่อมาภายในดอกจะมีสีกลีบข้างในเป็นสีเหลือง มีเกสรตัวผู้ 4 อัน แบ่งเป็น 2 คู่ แต่งละคู่ยาวแตกต่างกันส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน ยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรแยกออกเป็น 2-4 แฉก ทั้งนี้ ดอกงาขาวจะเริ่มบานในช่วงเวลาเช้า และกลีบดอกจะตกลงดินในช่วงเวลาเย็น
ผลของงาขาวเรียกว่า ฝัก ฝักอ่อนมีลักษณะทรงกระบอกออกจะกลม ปลายฝักเป็นจะงอยแหลม เมื่อฝักใหญ่จะแบ่งเป็นร่องๆตามความยาวของฝัก ยาวราวๆ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักดก มีสีเขียว แล้วก็มีขนปกคลุม เมื่อฝักแก่กลายเป็นสีดำอมเทา รวมทั้งปริแตก ทำให้เมล็ดหล่นลงดิน  ภายในฝักมีเม็ดขนาดเล็กสีขาวจำนวนหลายชิ้น เรียงซ้อนแยกกันในแต่ละร่องพู เมล็ดมีรูปไข่ เปลือกเมล็ดบางมีสีขาว มีกลิ่นหอมสดชื่น ใน 1 ฝัก จะมีเมล็ดโดยประมาณ 70-100 เมล็ด
การขยายพันธุ์
                งาขาว ที่ปลูกกันทั่วไปมี 6 ประเภท ดังเช่นว่า

  • พันธุ์เมืองเลย ปลูกมากที่จังหวัดเลยรวมทั้งบริเวณชายแดนไทย-ลาว รวมทั้งช่วงจังหวัดเลยถึงอุตรดิตถ์
  • พันธุ์เชียงใหม่ ปลูกมากมายที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่
  • พันธุ์ชัยบาดาลหรือสมอทอด ปลูกมากที่จังหวัดเพชรบูรณ์รวมทั้งจังหวัดลพบุรี แม้กระนั้นปัจจุบันนี้มีปริมาณน้อยมาก
  • ประเภทร้อยเอ็ด.1
  • ประเภทมข.1
  • ชนิดมหาสารคาม 60 มีเขตผลักดันการปลูก ดังเช่น จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก แล้วก็จังหวัดกาญจนบุรี


งาเป็นพืชเขตร้อนชอบอาการร้อนแล้วก็แดดจ้า อุณหภูมิที่สมควรต่อการเจริญเติบโต ราว 27-30 องศาเซลเซียส ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น หากอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส การงอกจะช้าลง หรือ อาจจะหยุดชะงักการเจริญเติบโต แม้กระนั้นถ้าเกิดอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสจะก่อให้การผสมเกสรติดยากการสร้างฝักเป็นไปได้ช้า
   ฤดูปลูก

  • ต้นหน้าฝน เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ม.ย. รวมทั้งเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ปลายเดือน ม.ย.-เดือนมิถุนายน ส่วนมากจะปลูกภายในพื้นที่นาก่อนการปลูกข้าว มีพื้นที่ปลูกประมาณร้อยละ 70 ของพื้นที่ปลูกงาทั่วทั้งประเทศ แหล่งปลูกงาต้นหน้าฝนได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ จังหวัดโคราช สระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย จังหวัดลำพูน น่าน และสุราษฏร์ธานี
  • ปลายฤดูฝน เริ่มปลูกตั้งแต่ก.ค.-เดือนสิงหาคม แล้วก็เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่สิ้นเดือน พฤศจิกายน-เดือนธันวาคม ส่วนใหญ่จะปลูกเอาไว้ภายในภาวะพื้นที่ไร่หรือที่ดอน ปลูกหลังการเก็บเกี่ยวพืชไร่ มีพื้นที่ปลูกราวจำนวนร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกงาทั่วทั้งประเทศ แหล่งปลูกงาปลายฤดูฝนที่สำคัญ ได้แก่ จังหวัด จังหวัดกาญจนบุรี พิษณุโลก สุพรรณบุรี เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ และก็เลย
ส่วนการปลูกงาขาวนั้นสามารถทำเป็นดังนี้

  • การเตรียมดิน การเตรียมดินเป็นสาเหตุที่สำคัญสำหรับเพื่อการปลูกงาเนื่องด้วยเมล็ดงามีขนาดเล็ก จะต้องมีการเตรียมดินให้ร่วนซุย จะช่วยทำให้งาแตกหน่อก้าวหน้าแล้วก็มีความสม่ำเสมอ การไถพรวนจะมากหรือน้อยครั้งขึ้นกับส่วนประกอบรวมทั้งจำพวกของเนื้อดิน ถ้าเป็นดินร่วนทรายจะไถ 1-2 ครั้ง ส่วนดินเหนียวต้องไถมากครั้งกว่าดินร่วนซุยโดยไถ 2-3 ครั้ง เพื่อย่อยดินให้ถี่ถ้วนจะได้ผลผลิตสูงยิ่งกว่าไถเพียงครั้งเดียว
  • วิธีปลูก การปลูกงาขาวมีอยู่ 2 วิธีเป็น
  • การปลูกแบบหว่าน เกษตรกรส่วนมากนิยมนำมาปลูกงาด้วยวิธีการแบบนี้ โดยหลังจากจัดเตรียมดินก็ดี จะใช้เม็ดงาหว่านให้กระจายสม่ำเสมอ อัตราเมล็ดพันธุ์ 1-2 โล/ไร่
  • การปลูกแบบโรยเป็นแถว สำหรับในการทำร่องสำหรับโรยเม็ด ส่วนใหญ่ใช้คราดกาแถว ระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร อัตราเมล็ดพันธุ์ 2-3 โล/ไร่ การปลูกเป็นแถวจะได้ผลผลิตสูงยิ่งกว่าการปลูกแบบหว่าน
  • การใส่ปุ๋ย ดินทรายหรือดินร่วนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 20-30 กก./ไร่ ดินร่วมคละเคล้าดินเหนียว ใช้ปุ๋ยสูตร 20-20-0 ในอัตรา 20-25 กิโล/ไร่
  • การดูแลและรักษา การปลูกงาขาวไม่ต้องการดูแลมากเท่าไรนัก หลังการหว่านเม็ดแล้วเกษตรกรจะปลดปล่อยให้งาเติบโตตามธรรมชาติ แม้กระนั้นมั่นตรวจทานแปลงเป็นระยะ หากพบโรคหรือแมลงระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดศัตรูพืช ส่วนการปลูกในฤดูแล้งหรือพื้นที่ออกจะแห้งแล้งอาจมีการให้น้ำเป็นระยะ
  • การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาขาวมีอายุเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 70-120 วัน หลังปลูก ขึ้นกับสายพันธุ์ แล้วก็เริ่มเก็บฝักได้ในระยะฝักแก่สีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ใบมีสีเหลือง รวมทั้งหลุดล่วงใกล้หมด แล้วก็เก็บในระยะที่เปลือกฝักยังไม่ปริแตก การเก็บเกี่ยวงาขาวจะใช้วิธีถอนต้น ก่อนเด็ดฝักแยกออกจากลำต้น แล้วตีให้ฝักแตกกันเมล็ดงาออก ซึ่งอาจใช้ไม้ตีหรือใช้เครื่องตีแยกฝัก


องค์ประกอบทางเคมี เมล็ดงาขาวมีน้ำมัน 44-58% โปรตีน 18-25% ที่มีกรดอะมิโนที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกับถั่วเหลืองคาร์โบไฮเดรตราวๆ 13.5% และเถ้า 5% (Borchani et al.,2010) น้ำมันงาประมาณ 50% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 35% แล้วก็อีก 44% เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ในขณะที่ 45% ของกากงาประกอบด้วยโปรตีน 20% (Ghandi, 2009) ส่วนส่วนประกอบทางเคมีที่มีในเม็ดงาขาวนั้นก็มีเหมือนกับงาดำ เป็นต้นว่า กรดไขมันดังเช่น oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, สารกลุ่ม lignan, ชื่อ sesamol, d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆได้แก่ sitosterol  ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของงาขาวมีดังนี้

ค่าทางโภชนาการงาขาว (งาขาวดิบ 100 กรัม)
                งาขาวดิบ             
น้ำ                           3.9          กรัม
พลังงาน                 658         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.9        กรัม
ไขมัน                       57.1        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        15.0        กรัม
ใยอาหาร                                4.6          กรัม
ขี้เถ้า                           3.1          กรัม
แคลเซียม                               86           มิลลิกรัม
เหล็ก                       7.4          มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                              650         มิลลิกรัม
เบต้า แคโรทีน                        0              มิลลิกรัม
ไทอะมีน                 1.08        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.11        มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  3.3          มิลลิกรัม
 
ผลดี/คุณประโยชน์
งาขาวใช้เป็นส่วนประกอบของของหวาน เช่น กระยาสาดข้าวเหนียวแดง หรือใช้ตกแต่งขนมปังหรือขนมต่างๆรวมไปถึงใช้สกัดน้ำมันงาสำหรับใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังเช่น ใช้สำหรับปรุงอาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นของกินพวกทอดต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริม  ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ตัวอย่างเช่น ครีมสำหรับดูแลผิว น้ำหอม สบู่ เป็นต้น ใช้ในอุตสาหกรรมยา รวมทั้งของกิน ดังเช่นว่า ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตช็อกโกแลต การผลิตเนยเทียม เป็นต้น  ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์  ใช้ทารักษาแผล  ใช้ทาผม ช่วยให้ผมมันวาววับ ใช้ทารักษาโรผิวหนัง ผื่นผื่นคัน มีการวิจัยในงาขาวพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองแล้วก็ใช่แล้วพบว่า มีไขมันสูงยิ่งกว่าถั่วเหลืองประมาณ 3 เท่า แล้วก็สูงกว่าไข่ ราว 4-6 เท่า มีโปรตีนสูงยิ่งกว่าไข่ประมาณ 5% แต่ว่าต่ำยิ่งกว่าถั่วเหลืองประมาณ 2 เท่า นอกจากนี้โปรตีนในงาขาวยังต่างจากพืชตระกูลถั่วรวมทั้งพืชให้น้ำมันอื่นๆเนื่องจากว่ามีกรดอะมิโนที่จำเป็นซึ่งพืชดังที่กล่าวถึงมาแล้วขาด ดังเช่นว่า การบูชายัญไธโอนินและก็ซีสตำหนิน แต่งาขาวมีไลซีนต่ำ ดังนั้นบางทีอาจใช้งาเป็นอาหารเสริมพวกของกินถั่วต่างๆเมื่อใช้เป็นของกิน หรือใช้เสริมโปรตีนที่มาจากสัตว์ซึ่งมีราคาแพง นอกนั้นยังใช้เสริมของกินพวกธัญพืช กล้วย และอาหารแป้งอื่นๆได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านี้เมล็ดงาขาวยังประกอบไปด้วย เกลือแร่ 4.1 – 6.5 % ที่สำคัญเป็น เหล็ก ไอโอดีน สังกะสี เซเลเนียม แคลเซียม แล้วก็ฟอสฟอรัส โดยจะมีแคลเซียมมากยิ่งกว่าพืชทั่วไปโดยประมาณ 20 เท่า ส่วนสรรพคุณทางยาของงาขาวนั้น แบบเรียนยาไทยกล่าวว่า งาขาวมีรสฝาด หวาน ขม ทำให้น้ำดี กำเริบเสิบสาน น้ำมันใช้หุงเป็นน้ำมันใส่รอยแผลเจริญ การหุงน้ำมันจะต้องใช้งาสดตำคั้นเอาน้ำ โดยใช้น้ำคั้นใบและก็เถาตำลึง บอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย  ไพล เอาน้ำมาอย่างละ 1 ถ้วย แล้วใส่น้ำมันงาลงไป 1 ถ้วย ตั้งไฟเคี่ยวไปจนถึงเหลือ 1 ถ้วย เอาน้ำมันที่ได้ปรุงด้วยสีเสียดเทศรวมทั้งไทยสิ่งละนิดเดียว หลอมตะกั่วนมให้ละลายเทลงในน้ำมัน แล้วเอาขึ้นหลอมอีกจนได้ 3 ครั้ง ทิ้งตะกั่วไว้ภายในนั้น ใช้น้ำมันใส่แผลจะช่วยรักษาแผลก้าวหน้ามากมาย
 ส่วนสรรพคุณทางยาของงาขาวนั้น ตำราเรียนยาไทยระบุว่า สารเซซาไม่นในเม็ดงาขาวสามารถลดระดับ LDL-cholesterol ในกระแสโลหิตของคน (ซึ่ง LDL-cholesterol เป็นต้นเหตุที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรค Athersclerosis (ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต)  บรรเทาลักษณะของโรคคิดสีดวงทวาร (Hemmorhoids) ได้ โดยกรดไขมันในน้ำมันงา ตัวอย่างเช่น Linoleic acid , oleic acid , palmatic acid , stearic acid , สามารถทุเลาอาการของโรคริดสีดวงทวารได้
ทั้งนี้มีการวิจัยน้ำมันงาพบว่าน้ำมันงาเป็นแหล่งของสารอาหาร ยกตัวอย่างเช่น กรดไขมันโอเมก้า 6 ฟลาโวนอยด์ ฟลีนอลิค สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินแล้วก็เส้นใย ซึ่งมีความหมายสำหรับเพื่อการต้านทานมะเร็ง รวมทั้งสนับสนุนสุขภาพ
แบบ/ขนาดวิธีใช้ เหมือนกันกับงาดำ เป็นสำหรับการนำงาขาวมาใช้ประโยชน์ส่วนมากจะใช้ประโยชน์คุณประโยชน์ด้านอาหารรวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมความงามมากยิ่งกว่าด้านการดูแลรักษาโรคแต่ก็มีการเอาไปใช้ตามตำรายาไทยอยู่บ้าง ดังเช่นว่า

  • แก้เยี่ยวหรืออุจจาระขัด นำเมล็ดงา 20 – 30 กรัม หรือ 1 – 2 ช้อน ต้มแล้วนำน้ำมาดื่มในขณะท้องว่าง
  • ความดันโลหิตสูง เมล็ดงาขาว น้ำส้ม  ซีอิ้ว รวมทั้งน้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนจะกว่าจะเข้ากันดี ต้มด้วยไฟอ่อนๆกระทั่งสุก กินวันละ 3 ครั้งบ่อยๆ
  • บรรเทาอาการไอแห้ง ไม่มีเสลด ให้นำเม็ดงา 3 – 5 ช้อน ตำบดให้ถี่ถ้วน ก่อนผสมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อน กิน หรือ นำผงเมล็ดงาชงน้ำร้อน และเดิมน้ำตาลดื่ม
  • บำรุงสมอง หนังสือเรียนอายุรเวทให้ใช้งาผง 1 ส่วน ผงมะขามป้อม 1 ส่วน และก็น้ำผึ้ง 1 – 2 ช้อนชา เคล้าให้ถูกกัน ปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน
  • ยาอายุวัฒนะ (ญี่ปุ่น) ใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง ชงด้วยน้ำร้อน เพิ่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รวมทั้งน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขับพยาธิเข็มหมุด เม็ดงาขาว 50 กรัม เติมน้ำต้นจนได้น้ำข้นๆกรองเอาส่วนน้ำมาปรุงด้วยน้ำตาล ดื่มขณะท้องว่างครั้งเดียวให้หมด
  • เจ็บคอ คัดจมูก แพ้อากาศ ปวดระดู นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ กินงับด 1 ข้อนชาก่อนนอน
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของงาขาวนั้นโดยมากเป็นการเรียนควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเล่าเรียนรวมกันทั้งยังงาขาว งาดำ) ดังนั้นผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาของงาขาวจึงดังงาดำ (มองการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชของงาดำ) แม้กระนั้นคนเขียนสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของงามาเพิ่มเติมอีกได้อีก 2 ฉบับหมายถึง
                การเรียนรู้ฤทธิ์ลดความเป็นพิษจากนิโคตินของสารลิกแนนจากงาในหนูแรทผิวเผือกเพศผู้ที่ได้รับพิษจากนิโคติน โดยการฉีดนิโคตินครั้งละ 3.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว เข้าใต้ผิวหนัง ติดต่อกัน 15 วัน ร่วมกับการป้อนของกินที่มีส่วนผสมของสารลิกแนนจากงา ขนาด 0.1 หรือ 0.2 กรัมต่อของกิน 100 กรัม ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ Low Density Lipoprotein cholesterol แล้วก็ Very Low Density Lipoprotein cholesterol ช่วยเพิ่มปริมาณ High Density Lipoprotein cholesterol รวมทั้งเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งลดความเข้มข้นของผลิตผลจากการเกิดการเพอคอยกสิเดชั่นของไขมันที่มากขึ้นเนื่องจากพิษของนิโคติน นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารลิกแนนจากงาช่วยเพิ่มปริมาณ DNA รวมทั้งคุ้มครองไม่ให้ DNA ในเยื่อตับถูกทำลายด้วยนิโคตินได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เห็นว่าสารลิกแนนจากงาสามารถทุเลาความเป็นพิษของนิโคตินต่อการเกิดออกซิเดชั่นและความเป็นพิษต่อสารพันธุบาปในร่างกายได้ และก็การศึกษาเล่าเรียนทางคลินิกเรื่องฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดระดับความดันเลือดสูง คนป่วยชายและก็หญิงที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงระดับน้อยถึงปานกลาง คือมีค่าความดันโลหิตตัวบน ≥ 140 มม.ปรอท รวมทั้งค่าความดันเลือดตัวข้างล่าง ≥ 90 มม.ปรอท อายุ 35 – 60 ปี ปริมาณ 50 คน ได้รับยาเพื่อการดูแลและรักษาเป็นยาขับฉี่ hydrochlorothiazide หรือ β-blocker atenolol มานาน 1 ปีก่อนเข้าร่วมการศึกษา และก็ยังคงได้รับยานี้ตามปกติตลอดการเรียนนี้ คนไข้จะได้รับน้ำมันงาเพื่อใช้ในการเตรียมอาหารในครอบครัว 4 – 5 กก. ต่อสมาชิกในครอบครัว 4 คน ต่อเดือน (ประมาณ 35 กรัม/วัน/คน) และก็จำเป็นต้องใช้เฉพาะน้ำมันงาเพียงแต่ชนิดเดียวตลอด 45 วัน ต่อจากนั้นหยุดเปลืองน้ำมันงา ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันที่เคยใช้อยู่เดิมอีก 45 วัน กระทำตรวจร่างกาย ความดันโลหิต น้ำหนักตัว, Body mass index (BMI), ระดับไขมัน อิเลคโตรไลท์ และเอนไซม์ในเลือด ก่อนจะมีการเรียน ภายหลังจากกินน้ำมันงา 45 วัน รวมทั้งภายหลังจากหยุดกินน้ำมันงา 45 วัน พบว่า การใช้น้ำมันงาแทนที่น้ำมันชนิดอื่นสำหรับการทำกับข้าวในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ทำให้ค่าความดันเลือดตัวบนรวมทั้งตัวด้านล่างกลับลงสู่ระดับปกติ น้ำหนักร่างกาย และ BMI ต่ำลง แม้กระนั้นหลังจากหยุดใช้น้ำมันงานค่าดังกล่าวกลับสูงมากขึ้น ระดับคอเลสเตอรอล, high density lipoprotein cholesterol รวมทั้ง low density lipoprotein cholesterol ในเลือดไม่ต่างกันเมื่อประเมินผลทั้งยัง 3 ช่วงเวลาที่ศึกษาเล่าเรียน เว้นเสียแต่ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลดลงเมื่อใช้น้ำมันงา รวมทั้งกลับสูงมากขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา ระดับโซเดียมในเลือดลดน้อยลงเมื่อใช้น้ำมันงาและกลับสูงมากขึ้นเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา   ระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงาแล้วก็ต่ำลงสู่ค่าธรรมดาเมื่อหยุดใช้น้ำมันงา การเกิด lipid peroxidation ลดลงเมื่อใช้น้ำมันงาและก็ค่ายังคงที่ภายหลังที่หยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี catalase แล้วก็ superoxide dismutase ในเลือดสูงขึ้น รวมทั้ง glutathione peroxidase ในเลือดต่ำลง เมื่อใช้น้ำมันงารวมทั้งค่ายังคงเดิมหลังจากหยุดใช้น้ำมันงาแล้ว ระดับวิตามินซี วิตามินอี เบต้า-ค้างโรทีน แล้วก็ reduced glutathione สูงมากขึ้นเมื่อใช้น้ำมันงาแล้วก็ลดลงภายหลังจากหยุดใช้น้ำมันงา จากการเรียนแปลว่าน้ำมันงาสามารถช่วยลดระดับความดันเลือด ลดการเกิด lipid peroxidation และก็เพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในคนไข้ความดันโลหิตสูงร่วมกับยาขับปัสสาวะได้
การเรียนทางพิษวิทยา การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยาของงาขาวเป็นการศึกษาเล่าเรียนควบรวมไปกับงาดำ (ซึ่งเป็นการเล่าเรียนรวมกันอีกทั้งงาขาว งาดำ) โดยเหตุนี้ผลการศึกษาทางพิษวิทยาของงาขาวจึงอย่างกับงาดำ (มองการเรียนรู้ทางพิษวิทยาของ งาดำ)
 
อแนะนำ/ข้อควรคำนึง

  • ในการรับประทานงาขาวในบางรายอาจมีอาการแพ้ได้ ด้วยเหตุว่ามีสาร Sesamol ซึ่งจะทำให้เกิดอาการต่างๆตัวอย่างเช่น ผื่นคัน คันจมูก หายใจลำบาก กลีบตาและริมฝีปากบวมแดง
  • การรับประทานงาขาวอาจก่อให้ระดับความดันเลือดลดต่ำเกินความจำเป็นได้ในผุ้ทีมีความดันโลหิตต่ำ
  • ถ้าหากรับประทานงาขาวมากกระทั่งเหลือเกินอาจก่อให้เกิดการระบายท้องมากจนเกินไปจนกระทั่งนำมาซึ่งอาการท้องเสียได้
  • หนังสือเรียนจีน ห้ามใช้งานในคนที่ท้องร่วงเรื้อรัง เสื่อมความสามารถทางเพศ มีตกขาว หรือ ถ้าเกิดจะใช้ควรใช้ในขนาดน้อย การใช้เกิน 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน อาจจะเป็นผลให้ท้องเดินได้
  • ตำราเรียนอายุรเวท ระบุว่า งา เป็นยาขับระดู การใช้ในสตรีท้องระยะเริ่มต้น (1-3 เดือน) ในขนาดที่มากจนเกินความจำเป็น อาจจะทำให้แท้งได้
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์  พิเชียรสุนทร , แม้นมาส  ชวลิต และ วิเชียร จีรวงส์ 2542. คำอธิบาย ตำราพระโอสถ พรนารายณ์ สำนักพิมพ์ อมรินทร์ กุมภาพันธ์ 2548
  • มนตรา ศรีษะแย้ม , นาถธิดา วีระปรียากูร , พนมพร ศรีบัวรินทร์.ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นในหลอดทดลองของเมล็ด งา ขาว ดำ และ แดง .วารสารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่ 10 .ฉบับที่ 2.พฤษภาคม – สิงหาคม 2557.หน้า 136-146
  • ปราณี รัตนสุวรรณ . งา ...ธัญพืชเมล็ดจิ๋วดินทรงคุณค่า.ภาควิชาเภสัชงาขาวและเภสัชพฤกษศาสตร์.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • กรมวิชาการเกษตร.2549.รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาด้านพืชและเทคโนโลยีการเกษตร รอบ 12 เดือน.วันที่ 20 – 24 พฤศจิกายน 2549.
  • งาขาว สรรพคุณ และการปลูกงาขาว.พืชเกษตรดอทคอม.เว็บเพื่อเกษตรกรไทยนันทวัน บุณยะประภัศร (บรรณาธิการ) 2539.สมุนไพรพื้นบ้าน(1) คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/
  • ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย.2544
  • Bowden, Jonny. The 150 Healthiest foods on earth: The surprising, unbiased truth about what you should eat and why (PAP/COM). Fair Winds Pr,2007:309-310
  • สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ปีที่ 2 ฉบับที่ 23 ประจำเดือน กันยายน 2545 บริษัท สำนักพิมพ์ยูทิไลซ์ จำกัด
  • สารลิกแนน จากงาช่วยลดพิษของนิโคติน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • งา,ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ฤทธิ์ของน้ำมันงาร่วมกับยาลดความดันโลหิตสูง.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.



Tags : งาขาว

9
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ปลาพะยูน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 10:44:15 AM »

ปลาพะยูน
ปลาพะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาศัยอยู่ในน้ำไม่ใช่ปลาจริงๆแม้กระนั้นเพราะอยู่ในน้ำและก็มีรูปร่างคล้ายปลาคนไทยก็เลยเรียกรวมเป็น”ปลา”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon(MuBer)
จัดอยู่ในสกุล Dugongidae
ชื่อสามัญว่า dugong sea
บางถิ่นเรียกว่า พะยูน วัวทะเลหรือหมูสมุทรก็เรียก มีลำตัวเพรียว ขนาดตัววัดจากหัวถึงโคนหาง ยาว ๒.๒๐ -๓.๕๐ เมตรหางยาว ๗๕.๘๕ ซม.ตัวโตสุดกำลังหนัก ๒๘๐ ถึง ๓๘๐ กิโลกรัมรูปกระสวยหางแยกเป็น๒แฉกขนานกับพื้นในแนวยาวไม่มีครีบภายหลังอยู่ตอนล่างของส่วนแม่ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อครึ้มลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมูเมื่ออายุน้อยลำตัวมีสีออกขาวแต่ว่ากลายเป็นสีเทาอมน้ำตาลเมื่อโตเต็มวัย เป็นประจำถูกใจอยู่รวมกันเป็นฝูงหลายๆฝูงหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่รับประทานพืชประเภทหญ้าทะเลตามพื้นทะเลชายฝั่งเป็นของกินโตเต็มกำลังพร้อมสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๑๒-๑๓ปีมีท้องนาน๑ปีคลอด ทีละ ๑ ตัว เคยพบได้มากตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทยแต่ตอนนี้เป็นสัตว์หายากแล้วก็ใกล้สิ้นซากยังพบในอ่าวไทยที่จังหวัดระยองชลบุรีจังหวัดตราดประจวบคีรีขันธ์ และก็ชายฝั่งทะเลอันดามันแถบจังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงากระบี่โดยเฉพาะเจอซุกซุมที่สุดรอบๆอุทยานแห่งชาติชายหาดเจ้าไหม-เกาะลิบตางจังหวัดตรังในต่างแดนพบได้ตั้งแต่รอบๆชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกาสมุทรแดงตลอดแนวชายฝั่งของมหาสมุทรประเทศอินเดียไปจนกระทั่ง ถึงประเทศฟิลิปปินส์เกาะไต้หวันถึงภาคเหนือของทวีปออสเตรเลีย

คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยใช้เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งแต่ว่าเพื่อสงวนสัตว์จำพวกนี้ซึ่งหายากมากมายแล้วจึงไม่ควรใช้ยานี้อีกต่อไป เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า”นวขี้ยว” หรือ”เนาวเขี้ยว” อย่างเช่นเขี้ยวหมูเขี้ยวหมีเขี้ยวเสือ เขี้ยวตะไข้เขี้ยวเลียงผา และงา (ดูคู่มือการปรุงยาแผนไทยเล่ม ๑น้ำกระสายยา)

10
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ช้าง
« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2017, 10:43:25 AM »

ช้าง
ช้างเป็นสัตว์เลือดอุ่นขนาดใหญ่
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Elephas maximas  Linnaeus
จัดอยู่ในวงศ์ Elephantidae
มีชื่อสามัญว่า Asiatic elephantหรือ Indian elephant
ชีววิทยาของช้าง
ช้างตัวผู้หรือช้างตัวผู้ที่โตเต็มกำลังสูงราว ๓.๒๐ เมตรน้ำหนักตัวราว ๕.๔ ตัน ส่วนช้างพังหรือช้างตัวเมียสูงราว ๒.๗๐ เมตรน้ำหนักตัวราว ๔.๑ ตัน ตอนยังเล็กอยู่มีขนสีดำปกคลุมลำตัวมากแม้กระนั้นจะหลุดไปเมื่อโตขึ้นเหลือเพียงแค่ขนห่างๆแลเห็นตกอยู่เฉพาะที่ขนตารวมทั้งปลายหางเมื่อ อายุราว ๔๐ ปีขนหางเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวผิวหนังสีน้ำตาลเข้มหรือสีเทาช้างตัวผู้บางตัวมีงายาวเรียกช้างพลายส่วนตัวผู้บางตัว มีงาขนาดเล็กรวมทั้งหลบซ่อนอยู่ ภายในเรียกช้างสีดอ ขนาดเล็กและก็สั้นที่ซ่อนอยู่นั้น เรียก ขนาย ช้างตัวเมียเรียกช้างพัง ลางตัวอาจมีขนายได้ งาจะเจริญวัย จนชั่วชีวิต ช้างมักอาศัยรวมกันเป็นโขลง ตั้งแต่ ๕ ถึง ๗๐ ตัว มีตัวภรรยา  อายุมากเป็นจ่าโขลง ในฝูงอาจมีตัวผู้ที่อยู่ในวัยผสมพันธุ์ได้ ๑ ตัว ส่วนตัวผู้ขนาดใหญ่ตัวอื่น มักอยู่สันโดษ ช้างเป็นสัตว์ขี้ร้อนชอบเล่นน้ำเวลาตกมันจะดุร้าย แล้วก็กระด้าง ปัสสาวะกะปริบกะปรอย และน้ำมันไหลออกมาจากต่อมที่ขมับ บริเวณผิวหนัง ที่มีน้ำมันย้อย มีสีดำแล้วก็กลิ่นเหม็นมากมายช้างตัวผู้ตกมันนานราว ๑๔-๓๐ วัน และ ตกมันปีละครั้ง รับประทานต้นหญ้าหน่อไม้ใบไม้ แล้วก็กาบไม้เป็นอาหาร ดื่มน้ำมากวันละ ๒๐๐ ลิตร โตเต็มวัยพร้อมผสมพันธุ์ได้ เมื่ออายุ ๑๕-๑๘ปีมีท้องนาน ๒๒-๒๔ เดือน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ข้าพเจ้าอยู่กับแม่ช้างนาน ๓-๕ปีช้างโดยธรรมดาอายุยืน ๖๐-๗๐ปี ช้างประเภทนี้พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างประเทศเจอที่อินเดียศรีลังกาบังกลาเทศ เนปาลประเทศพม่าภาคใต้ของจีน ลาวเวียดนามเขมรมาเลเซียและก็อินโดนีเซีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ “งาช้าง” เข้าเครื่องยาหลายขนานงาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า “นวเขี้ยว” หรือ “เนาวเขี้ยว“ดังเช่นว่าเขี้ยวหมู เขี้ยวหมี เขี้ยวเสือ เขี้ยวแรดเขี้ยวหมาป่า เขี้ยวปลาพะยูน เขี้ยวไอ้เข้เขี้ยว แกงเลียงเขาหินแล้วก็งา (ดูคู่มือเภสัชกรรมแผนไทย ๑ เล่มน้ำกระสายยา ) ในพระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา ให้ยาพอกองคสูตรไว้ขนานหนึ่ง เข้างานช้าง เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้ ยาพอกองคสูตร เอาผักบุ้ง ขัน๑ งาช้าง ๑ เขากวาง ๑ รากถั่วพู  ๑ มูลวัวเผา ๑ มหาหิงค์ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ บดพอกองคชาตแลแลพอหัวเหทุ่งนา หน้า ๓ วัน หายแล

Tags : สัตววัตถุ

11

สมุนไพรกำลังกระบือ
ชื่อประจำถิ่นอื่น  กระบือเจ็ดหัว  กำลังกระบือ  ลิ้นกระบือ (ภาคกึ่งกลาง) กะบือ (จังหวัดราชบุรี) ใบท้องแดง (จันทบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Excoecaria cochinchinensis Lour.  var.  cochinchinensis
ชื่อพ้อง Excoecaria bicolor (Hassk) Zollex Hassk.
ชื่อตระกูล  EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ Kamlang kra bue.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม (ExS) สูงโดยประมาณ 70-150 เซนติเมตร ทุกส่วนมียางขาวเสมือนนม กิ่งเรียวเล็ก เปลือกสีแดงอมม่วงใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกันหรือเรียงสลับ ลักษณะใบรูปขอบขนานหรือขอบขนานปนไข่กลับ โคนใบแหลม ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆขอบใบหยักห่างๆเส้นใบ 12-13 คู่ ใบอ่อนสีแดงผิวเป็นเงา ใบแก่ด้านบนสีเขียว ข้างล่างสีแดงอมม่วง ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร หูใบเป็นรูปหอกปลายแหลม
ดอก มีดอกเป็นช่อตามซอกใบและก็ที่่ยอด มีดอกเพศผู้ เพศภรรยา และดอกบริบูรณ์เพศ บางทีอาจจะอยู่บนต้นเดียวกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ดอกเพศผู้และดอกสมบูรณ์เพศช่อยาวประมาณ 2 ซม. ใบแต่งแต้มสามเหลี่ยม ปลายเรียวแหลม กลีบรองกลีบ 3 กลีบ รูปยาวแคบ ปลายแหลม ดอกเพศภรรยา กลม มักจะออก 3 ดอก ใบประดับเสมือนดอกเพศผู้ ก้านดอกสั้นมากมาย กลีบรองกลีบดอกไม้ 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม ขอบหยักเล็ฏน้อย ดอกมีสีเหลืองอมเขียวขนาดเล็กมีดอกตลอดปี ผล เป็นจำพวกแก่แล้วแห้ง รู)ร่างค่อนข้างกลม ไม่มีเนื้อ มี 3 พู เมื่อแก่แตกเป็น 3 ส่วน

นิเวศวิทยา
เป็นไม้ในเขตร้อน มีบ้านเกิดเมืองนอนแถบอินโดจีน นิยมปลูกทั่วไปเป็นไม้ประดับ
การปลูกรวมทั้งเพาะพันธุ์                                   
สามารถเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินร่วนปกติ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง หรือ การตอนกิ่ง
ส่วนที่ใช้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแล้วก็สรรพคุณ
ลำต้น รสร้อนเฝื่อนฝาด ยางจากลำาต้นเป็นพิษมาก ใช้เพื่อการเบื่อปลา
ใบ  รสร้อนฝาดขื่น รักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบโลหิตบางชนิด ชาวชวาใช้ใบโขลกเป็นยาพอกห้ามเลือด ตำราเรียนยาหมอแผนไทยนำใบโขลกผสมกับเหล้ากลั่นคั้นเอาน้ำกินแก้สันนิบาตหน้าเพลิง ยาขับเลือดเสียและขับน้ำคร่ำในสตรีข้างหลังคลอดบุตร แก้อักเสบรอบๆปากมดลูก
วิธีการใช้และก็จำนวนที่ใช้

  • ขับน้ำคาวปลาข้างหลังคลอด ขับเลือดเน่า ขับระดู โดยใช้ใบสด 10-15 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำอย่างถี่ถ้วน ผสมกับเหล้าโรงบางส่วน คั้นเอาน้ำเบาๆจิบ รุ่งเช้า-เย็น
ข้อควรทราบ
ไม่ควรใช้ในสตรีที่ตั้งท้อง เพาะถ้าหากใช้ในบริมาณที่มาก อาจส่งผลให้แท้งได้
ใบสดต้นควายเจ็ดตัว สามารถนำไปใช้คุณประโยชน์ทำเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ได้อีกด้วย เพราะมีสีแดงสดใส

12
อื่น ๆ / ชื่อพฤกษศาสตร์ หมายถึงอะไร
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2017, 03:45:39 AM »

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรชื่อพฤกษศาสตร์ของต้นพืชเป็นอย่างไร?[/url][/size][/b]
ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืช หรือชื่อพฤกษศาสตร์ เป็นชื่อสากลของพืชที่ตั้งขึ้นมาตั้งขึ้นตามข้อตกลงนานาประเทศ โดยกำหนดให้ใช้ชื่อเป็นภาษาละติน เพราะเหตุว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว จึงมีการเปลี่ยนน้อยมาก หรือบอกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
คาร์โลลัส ลินเนียส เป็นผู้นำระบบการเรียกชื่อแบบนี้มาใช้เป็นครั้งแรกในปี คศ ๑๗๕๓ เรียกกันว่า “ระบบเรียกชื่อคู่” (binomial nomenclature) ระบบนี้เรียกชื่อราวกับการเรียกชื่อของคนจีน เป็นเรียกชื่อสกุล (แซ่) ก่อน แล้วจึงตามด้วยชื่อจริง ดังเช่นว่า เหมาเจ๋อตง เหมาเป็นชื่อสกุลเงินหรือแซ่ ส่วนเจ๋อตง เป็นชื่อตัว ซึ่งก็คือ (นาย) เจ๋อตง (แซ่) เหมา ในการเรียกชื่อแบบไทยนั่นเอง การเรียกชื่อแบบงี้ ชื่อที่ตามหลังชื่อสกุลจะเป็นชื่อตัว (ถ้าเกิดเป็นพืชก็จะเป็นชื่อชนิด) การตั้งชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของพืชมีระเบียบต่างๆแล้วก็หลักเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติมาก รวมถึงการกำหนด “แบบอย่างต้นแบบ” (type specimen) สำหรับใช้ทำคำบรรยายลักษณะของพืชชนิดนั้นๆแต่ ชื่อพฤกษศาสตร์ ของพืชมักนิยมเขียนเป็น ๓ ชื่อ โดยชื่อสุดท้ายนั้น มากใส่ไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่นักวิชาพฤกษศาสตร์ผู้ตั้งชื่อนั้น เป็นต้นว่า ต้นโมกสิริกิตอันเป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย ที่พึ่งศึกษาค้นพบใหม่ทางวิชาพฤกษศาสตร์(รายงานเมื่อปีพ.ศ ๒๕๔๔ ) ได้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Wrightia sirikitiae D.J.Middleton & Santisuk ชื่อสกุลก็คือ Wrightia อันเป็นสกุลโมกมัน ชื่อชนิด sirikitiae ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ให้อัญเชิญพระนาม “สิริกิต์” มาตั้งเป็นชื่อประเภทเพื่อสรรเสริญ ชื่อD.J.Middleton & Santisukเป็นชื่อผู้ตั้งชื่อชื่อพฤกษศาสตร์จำพวกนี้ ชื่อ Santisuk เป็นสกุลของ ศ.จ.ดร. เครื่องหมายชัย ความสงบสุขราชบัณฑิต พืชประเภทนี้จัดเป็นพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ รวมทั้งเจอรอบๆเขาหินปูนบริเวณพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

ดอกเข้าพรรษา
อันเป็นพืชถิ่นเดียวของเมืองไทย พึ่งได้รับการค้นพบใหม่ทางวิชาพฤกษศาสตร์ด้วยเหมือนกัน (รายงานเมื่อปี  พ.ศ ๒๕๔๔) ว่า Smithatris supraneanae W.J.Kress & K.Larsen ชื่อสกุลคือ Smithatris เป็นชื่อสกุลใหม่ของสกุลขิง ชื่อประเภทคือ supraneanae ตั้งให้เป็นพรมแดนของไทย ชื่อสุปราณี คงจะพิชญานันท์ ส่วนชื่อ W.J.Kress & เป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้ร่วมริเริ่มตั้งขึ้นชื่อจำพวกนี้ดอกต้นดอกเข้าพรรษาเจอในธรรมชาติที่จังหวัดสระบุรีแล้วก็ลพบุรีดอกจะบานช่วงวันเข้าพรรษา เพราะเหตุว่าช่อดอกประกอบด้วยใบประดับสีขาวและมีดอกสีเหลืองอยู่ข้างในราษฎรก็เลยนำไปใส่บาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษาที่สัดรอยเท้า จังหวัดสระบุรี
นามนั้นสำคัญไฉน?
พรรณพฤกษชาติแต่ละประเภทมีชื่อเรียกต่างๆกันไปตามแคว้น รวมทั้งตามภาษาของเชื้อชาติ ดังเช่น ต้นลั่นทม ของทางภาคกึ่งกลางนั้น ลาวเรียก จำปา หรือดอกพิกุลของทางภาคกลางนั้น ล้านนาเรียก ดอกแก้ว ซึ่งดอกแก้วทางภาคกึ่งกลาง ซึ่งก็คือต้นไม้อื่นอีกหลายแบบ การใช้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์จึงช่วยให้ชนชาติต่างๆทั้งยังไทยและก็เทศสามารถติดต่อสื่อสารถึง พืชชนิดเดียวกันได้ตรงกัน

Tags : สมุนไพร

13
อื่น ๆ / ความหมายของสมุนไพรโกษฐ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2017, 08:10:34 AM »

สมุนไพรพิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย ตำราเรียนโบราณเขียนชื่อพิกัดยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไปหลายแบบ ในแผ่นจารึกตำราที่วัดราชโอรสสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แต่ครั้งท่านยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความปรานีเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมแซมวัดนี้ใน พุทธศักราช ๒๓๖๔ ถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยหมู่นี้เป็น โกด ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น (พิมพ์ตาอักขระที่ปรากฏในแผ่นจารึก) หากบุทคลใครกันแน่ไม่สบายเพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานก็ดี ทำให้หิวโหยหาแรงไม่ได้ ให้ระลอตเตอรี่ไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้  ถ้าเกิดจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งห้า เทียรอีกทั้งห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน ดอกจัน แขนวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี แห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด พยาน ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเท่าเทียมทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลทรายก็ได้ น้ำแรมคืนก็ได้ กินแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งมวล ทำให้คลุ้มคลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลบำรุงกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนแผ่นจารึกแบบเรียนที่วัดพระเชตุพนสะอาดมังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ รวมทั้งคณะอาจารย์สถานศึกษาหมอแผนโบราณได้เก็บรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕  ในแบบเรียนยาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในพักนี้เป็น โกฐ ทั้งปวง เช่นศิลาจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะสันนิบาตอันบังเกิดเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะมีขึ้นแก่บุคคลใดดีแล้ว ก็ทำให้ลงดุจรับประทานยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิ้มไปพบสติมิได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นกำลัง ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจไม่ได้ขาด ถ้าเกิดเเลลักษณะเป็นดังที่กล่าวมาแล้วมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมอทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลกระจู๋ม จันทน์อีกทั้ง ๒ โกญสอ โกฐเขมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้ง ๒ ใบสันพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทแขนก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมต้มตามวิธีให้กิน แก้สันนิบาตอันบังเกิดเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวอีกนัยหนึ่งดีรั่วนั้นหายยอดเยี่ยมนักฯสำหรับ คัมภีร์หมอแผนไทยแผนโบราณ ซึ่งสะสมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน กิตติแผ่กว้าง) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมดทั้งปวง อาทิเช่นยาแก้คอแห้งในคู่มือเล่ม ๓ ในขณะที่ว่าด้วยเสลดพิการและก็ยาแก้ ดังนี้ ยาแก้คอแห้งผาก แก้เสมหะเหนียว แก้คลื่นไส้ เอาโกฏอีกทั้ง ๕ เทียนทั้งยัง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ ประพรมไม่ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อาเจียนละลายน้ำลูกยอต้มรับประทาน
                     
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณท้องนา – ตำราเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจไพศาล ตามตำราของพระยายอดเยี่ยมศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นบิดา บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งปวง ตัวอย่างเช่น ยาเทวดานิมิตรในเล่ม ๔ ดังต่อไปนี้ ถ้าหากจะเอายาชื่อเทพนิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ สักขีพยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมสมุทร ๑๖ ส่วน เบ็ญจกูล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้กิน แก้เลือดปกติโทษอันเกิดขึ้นแม้กระนั้นกระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
ก็เลยมองเห็นได้ว่าหนังสือเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ แตกต่างไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกชนิดเป็นของที่มีเกิดในต่างชาติ และก็มีพ่อค้าฝรั่งนำเข้ามาขายในประเทศไทยช้านานแล้ว ขั้นต่ำก็ก่อนยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เพราะว่าในตำราเรียนแพทย์แผนไทยซึ่ง ตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม คือคัมภีร์โรคนิทาน รวมทั้งคู่มือมหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากมายก่ายกองหลายขนาน และก็ใหหลายขนานในแบบเรียนพระโอสถพระนารายณ์เอง แต่ว่าชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรเขียนคืออะไร มีที่มารวมทั้งความหมายเช่นไร นอกจากนี้เครื่องยาหมู่นี้บางประเภทเป็นยังไง มีมูลเหตุอย่างไรอย่างเป็นข้อโต้แย้งที่ยังหาบทสรุปไม่ได้
ที่มาของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังต่อไปนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลากหลายประเภท ตำราเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยผู้รอบรู้ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แม้กระนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) จึงน่าจะเป็นสาเหตุของการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แม้กระนั้น คำ โกฐ นี้แปลว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีหมายความว่า ไส้ ท้อง คำอีกทั้ง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร นอกเหนือจากนี้ คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ก็ให้ความหมายที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น
โกส แปลว่า ผอบ; มีความหมายว่าซูบผอมมาตราวัดความยาวพอๆกับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ แสดงว่า ๑๐ ล้าน
โกษ หมายความว่า อัณฑะ
หีบศพแปลว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลัง คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อรวมทั้งพิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรจะเขียนอย่างไรนั้น อาจสืบสาวหาที่มาของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้มากที่สุด เพื่อให้คงความหมายเดิมให้สูงที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งสิ้นเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีและก็ใช้กันมาในประเทศถิ่นเกิดและประเทศใกล้เคียง และก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่สื่อความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้ก็เลยน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะเหตุว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปแล้วก็การแพทย์แผนจีนทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาการแพทย์ด้านการแพทย์แล้วก็เภสัชกรรมแผนหมอแผนไทยมาแต่ว่าโบราณ แต่ว่าคำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ดังนั้น คำที่ออกเสียง โกด จึงน่าจะมีที่มาจากภาษาถิ่นใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในคู่มืออายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาประเภทหนึ่งในภาษาถิ่นของประเทศกัษไม่ระ และก็หนังสือเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาประเทศอิหร่านหรือเปอร์เซีย ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและเบงกาลีเป็น kut ภาษาทมิฬเป็น kostum หรือ goshtam ตำรายาไทยเรียกเครื่องยาชนิดนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) จึงได้ข้อยุติในชั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน แล้วก็คำนี้สื่อความหมายเช่นไร
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย จึงต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาเปอร์เซีย โดยเฉพาะคำในภาษาดังที่กล่าวถึงมาแล้วที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) หมอโอนามิภายหลังที่ได้บากบั่นค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นเวลานานหลายสิบปี เร็วๆนี้เองจึงได้เจอคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ ตำรายาแห่งการแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงข้อเสนอของที่ประชุมที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่หมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน แล้วก็นายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือมิได้กำหนดปีที่พิมพ์รวมทั้งสถานที่พิมพ์) ในหนังสือเรียนดังที่กล่าวมาข้างต้น ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังต่อไปนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
ก็เลยสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เปรียบเทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเปรียบเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมมากที่สุด รวมทั้งบอกคำจำกัดความที่ไม่อาจเป็นอย่างอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้คงจะเข้ามาสู่แว่นแคว้นไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน แล้วก็การแพทย์โบราณที่กรุงสยามคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายอย่าง ซึ่งแม้จะใช้เพลงปริมาณบางส่วน แต่ก็ทรงอำนาจสำหรับเพื่อการบำบัดโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนและเครื่องยาเทศหลากหลายประเภทในยาไทย การแสดงให้เห็นความคิดอันฉลาดปราดเปรื่องหลักแหลมของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างประเทศในยาไทย เครื่องยาพวกนี้หลายแบบเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ทั้งยัง ๕ โกษฐ์  ๗ โกษฐ์ ทั้ง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ นอกเหนือจากนั้นยังมีกดอีกหลายชนิดที่มิได้จะเข้าเอาไว้ในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของมูลเหตุ ตระกูล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนแล้วก็ใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากและก็เหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เมล็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากรวมทั้งเหง้าแห้ง
โกฐทั้ง  ๕ (เบญจโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยดังเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา ตำราสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แล้วก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแม้กระนั้นโบราณ นอกนั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากทั้งในอดีตแล้วก็ยาไทย
โกษฐ์   ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ จำพวก เป็นโกษฐ์ทั้งยัง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว และ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ประเภท แบบเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูก
โกษฐ์อีกทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยโกษฐ์๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีรวมทั้งโกษฐ์ท้อง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ชนิด ได้แก่ โกษฐ์กะกลิ้ง โกษฐ์กักกรา และก็โกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอติเตียนสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในไส้ แก้หนองใน ขับเมนส์ร้าย เพื่อช่วยทำให้นักเรียนวิชาเภสัชกรรมแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งหมดทั้งปวงได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ประเภทต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงเป็นลำดับดังต่อไปนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาเลวทรามลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกไว้ในชฎา
กะกลิ้งแล้วก็กรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามสาเหตุ
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels สกุล Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายประเภท ตัวอย่างเช่น แปลว่าผู้ที่มาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ชายน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าในที่นี้มีความหมายว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก มีกลิ่นหอมยวนใจแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งตรง สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ ซม. แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ เซนติเมตร ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (เว้นเสียแต่รอบๆเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ เซนติเมตร โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ ซม. ใบเสริมแต่งมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดแตกต่างกัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ข้างล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ มิลลิเมคร ยาว ๔-๖ มิลลิเมตร สันด้านล่างดกแคบ ข้างๆมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่ว่ามี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชชนิดนี้มีเขตการกระจายจำพวกในป่าดิบ ตามเทือกเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของจีน คือบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชิญชวน (เสฉวน) และหยุยงนหนาน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร ออกดอกในมิ.ย.ถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลสำเร็จในเดือนกรกฎาคมถึงกันคุณยายน พืชชนิดนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกเอาไว้ในเมืองจีนมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และเวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง แบบอย่างทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ กิ้งก้าน หรือมากยิ่งกว่า ยาว ๑๕-๒๕ เซนติเมตร เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ ซม. มีแอนนูลัส ปลายมนและก็กลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นและก็จากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากแขนง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ เซนติเมตร ตอนบนดกตอนล่างเรียวเล็ก ส่วนมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากครึ้ม มีร่องแลกจุดหลายชิ้น ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสหวาน ฉุน รวมทั้งขมนิดหน่อย
ชาวจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆมากมาย เป็นรองก็แต่ชะเอม (licorice) แค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงแตกต่างเป็น รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากกิ่งก้านสาขาน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับประจำเดือน หมอแผนจีนใช้เครื่องยาจำพวกนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ดังเช่นว่า ยาขับรอบเดือน ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกประเภท แก้หวัด แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้เป็น ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น ของลับ เพื่อปฏิบัติผัวเจริญรวมทั้งเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย ตำราเรียนสมบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมหวน รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ในพิกัดโกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ ๗ รวมทั้งโกษฐ์ ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาครอคอยล (carvacrol) ฯลฯ นอกจากน้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกซิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ อาทิเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรมีความหมายว่าขาว ตำราเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก ป๋ายจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจี้ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากกว่า อาจแยกกิ้งก้านตรงปลาย มีกลิ่นหอมสดชื่นแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน เจ้าเนื้อสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขน หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่ปนรูปสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ เซนติเมตร ยาวถึง ๕๐ เซนติเมตร แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบข้างบนรถรูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบแต่งแต้มมี ๐-๒ ใบ เหมือนกาบ ป่องออกหุ้มช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางโอกาสถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบประดับย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกปนรูปแถบ ยาวแทบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกไม้มี ๕ กลีบ รูปไข่กลั

14
อื่น ๆ / ขมิ้นชันมีสรรพคุณที่น่าทึ่ง
« เมื่อ: ตุลาคม 28, 2017, 04:09:21 AM »

ขายขมิ้นชัน[/url]พร้อมทั้งสรรพคุณดีๆที่จะช่วยคุณให้ชีวิตไม่ต้องกลัวโรคต่างๆอีกต่อไป[/size][/b]
สรรพคุณของขมิ้นชัน
ขายส่งขมิ้นชันมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยสำหรับในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง
ขายขมิ้นชันอาจมีบทบาทช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง อาทิเช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งปากมดลูก
ขมิ้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลภายในร่างกายได้
ช่วยกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกาย
ขายขมิ้นชันสามารถช่วยทุเลาลักษณะโรคเบาหวาน
มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง
ช่วยลดลักษณะโรคเกาต์
ขมิ้นชันช่วยขับนมของคุณแม่ข้างหลังคลอดลูก
ช่วยรักษาระบบฟุตบาทหายใจที่มีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติ
ช่วยทำนุบำรุงสมอง ปกป้องโรคจำอะไรไม่ค่อยได้
อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)รับผลิตขมิ้นชัน
ช่วยลดการอักเสบ
ช่วยแก้อาการวิงเวียนหัว
ช่วยบรรเทาอาการแพ้แล้วก็หวัด
ช่วยบรรเทาอาการไอ
ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ หายใจไม่สะดวกให้มีอาการดีขึ้น
ช่วยคุ้มครองการแข็งตัวของเส้นโลหิต
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกใบเสร็จรับเงินอี
ขายขมิ้นชันช่วยรักษาแผลที่ปาก
ช่วยบำรุงปอดให้มีสุขภาพแข็งแรงแล้วก็แข็งแรง
น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีคุณประโยชน์ช่วยทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องเดิน อุจจาระร่วง โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอนแล้วนำมากินครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา
ขายส่งขมิ้นชันช่วยแก้อาการจุดเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องอืดท้องเฟ้อ
รับผลิตขมิ้นชันช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ
ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้
ช่วยรักษา อาการลำไส้ใหญ่บวม
ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร
ขายขมิ้นชันช่วยสำหรับเพื่อการขับลม
ช่วยทุเลาอาการนิ่วในถุงน้ำดี
มีฤทธิ์สำหรับในการช่วยขับน้ำดี
ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และชำระล้างไส้
ช่วยบำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ แล้วก็คุ้มครองปกป้องตับจากการถูกทำลายของยาพาราเซตามอล
ช่วยบำรุงรักษาหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
ช่วยแก้อาการแท้งลูก ด้วยการนำขมิ้นสดมาตำให้รอบคอบแคปซูลขมิ้นชันแล้วคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำปูนใสแล้วรับประทานช่วยแก้อาการตกขาว
ช่วยกินอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ
ช่วยแก้อาการน้ำเหลืองเสีย
ช่วยแก้ผื่นคันตามร่างกาย
ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน
ช่วยรักษาขี้กลาก เกลื้อน ด้วยการใช้ผงขมิ้นผสมกับน้ำ นำมาทาบริเวณที่เป็นขี้กลากเกลื้อนวันแล้ววันเล่า วันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง ตุ่มหนองให้หายเร็วเพิ่มขึ้น
ช่วยรักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการนำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำจนกระทั่งละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณดังที่กล่าวถึงแล้ว
ขายขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการต่อต้านและก็ฆ่าเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของโรคผิวหนัง รวมทั้งต้านทานยีสต์ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
ช่วยต้านทานปรสิตหรือเชื้ออะมีบาที่เป็นต้นเหตุของโรคบิดได้
ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เชื้อไวรัส อาทิเช่น แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะ แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคท้องเสีย แบคทีเรียที่กระตุ้นให้เกิดหนอง ฯลฯขายขมิ้นชัน
มีฤทธิ์สำหรับในการต้านทานการกลายพันธุ์ ต้านทานสารก่อโรคมะเร็งที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดขึ้นและมีสาเหตุมาจากการเสื่อมของร่างกาย แล้วก็เบาหวาน
ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วเพิ่มขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนรอยแผล แล้วก็ยังช่วยให้รอยแผลไม่ให้ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวได้ แล้วก็สามารถรีบให้แผลที่ติดเชื้อหายได้รับผลิตขมิ้นชัน
ขมิ้นยังมีคุณประโยชน์ช่วยสำหรับเพื่อการปกป้องการงอกของขนอีกด้วย โดยสตรีชาวอินเดียมักนำขมิ้นมาทาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก
ขมิ้นชันขัดผิว ใช้ทำทรีตเมนต์พอกผิวขัดผิวด้วยขมิ้น ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวนวลใส เต่งตึง ด้วยการนำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่อยนำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสมกับมะนาว 1 ลูก ปั่นจนถึงเหมาะ นำมาพอกหน้าหรือผิวทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ขมิ้นเป็นส่วนประกอบของทรีตเม้นต์รักษาสิวเสี้ยน สิวผื่น สิวอุดตัน
ขายขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในเครื่องแต่งตัวบำรุงผิวต่างๆ
นอกจากนั้นยังช่วยคุ้มครองป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย
ส่วนประกอบสำคัญ
ขมิ้นชัน
ขายขมิ้นชัน ขายส่งขมิ้นชัน จำหน่ายขมิ้นชัน แคปซูลขมิ้นชัน
รับผลิตขมิ้นชัน

ขมิ้นชันสรรพคุณ ชำระล้างไส้ สมานแผลในกระเพราะอาหาร
ต้านทานอนุมูลอิสระที่นำไปสู่มะเร็งในตับ มีวิตมินเอ วิตมินอี
วิตมีนซี เมื่อไปสู่ร่างกายจะปฏิบัติงานพร้อมกันอีกทั้ง 3 ตัวมีส่วนช่วยลดไขมันไนตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนัง
กำจัดเชื้อราที่แปดเปื้อนมาพร้อมกับอาหาร
ที่รับประทานเข้าไปสะสมส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง ช่วยขับน้ำนมสตรีที่มีบุตร
ขมิ้นชัน ขมิ้นชันมีสรรพคุณมากมายหลายอย่างขายส่งขมิ้นชันดังนี้ ใช้บำรุงเลือด ฟอกโลหิต บำรุงธาตุ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง รักษาอาการอักเสบที่เกี่ยวกับข้อ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปวดระดูหรือระดูมาไม่ปกติ แก้หวัด ขับปัสสาวะ แก้แท้งลูก แก้ปวดฟัน ใช้รักษาโรคบิด ลดไข้ อื่นๆอีกมากมาย ถ้าใช้ด้านนอก ใช้รักษาผี แผลพุพอง สมานแผล ลดอาการแพ้จากแมลงกัดต่อย รักษาผิว บำรุงผิว แก้กลยุทธ์ปวดเมื่อยรับผลิตขมิ้นชันรักษากลากโรคเกลื้อน ฯลฯ และในขมิ้นชันมีสารเคอร์คูไม่นและก็เคอร์คิมูนอยด์ ที่ช่วยต่อต้านเอนไซม์บางประเภทของไวรัส HIV และก็ยังสามารถยั้งเซลล์ของมะเร็งได้อีกด้วย แล้วก็พบว่าขมิ้นขันยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แล้วก็ยังมีฤทธิ์ในการขับน้ำดี ต้านเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งแคปซูลขมิ้นชันรักษาแผลสำหรับเพื่อการในกระเพาะได้อย่างดีเยี่ยม
สรรพคุณชะพลู
ชะพลู [/b]ด้านการใช้เป็นอาหาร ใบชะพลูมีรสหวาน เย็น และก็กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงนิยมเอามาปรุงอาหารได้นานาประการรายการอาหาร บทบาทของชะพลูในจานอาหารครอบครัวประจำถิ่นมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวขายขมิ้นชันเริ่มตั้งแต่เป็นผักสดที่นิยมกินกับของกินรสแซบทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น ลาบ ก้อย น้ำตก เนื้อย่าง ปลาย่าง ตลอดจนน้ำพริกต่างๆชะพลูเป็นเครื่องปรุงที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดในของกินจานท้องถิ่นต่างๆแกงแคของภาคเหนือซึ่งถึงกับเรียกใบชะพลูว่า”ใบผักแค” เลยทีเดียว หรือไม่ก็เป็นเนื่องจากใช้ใบชะพลูเป็นเครื่องปรุงเฉพาะตัว ก็เลยเรียกแกงนั้นว่าแกงแค เป็นได้เหมือนกันแคปซูลขมิ้นชันส่วนภาคอีสารนิยมใส่เอาไว้ข้างในแกงอ่อมต่างๆแกงขนุนอ่อน แกงหัวปลี ภาคใต้ใช้แกงน้ำกะทิใบชะพลูกับหอยแครง ส่วนภาคกึ่งกลางนิยมใส่แกงคั่วหอยขม นิยมเอามารับประทานร่วมกับข้าวมันตำส้ม จำพวกที่เรียกว่าหากขาดใบชะพลู รสของข้าวมันตำส้มก็อร่อยไปเลย รสใบชะพลูเวลาที่กัดแล้วก็เคี้ยวรับประทานจะมีกลิ่นหอมยวนใจในปารสจัด บดนานๆจะได้รสเผ็ดอ่อนๆใบชะพลูขนาดกำลังอร่อยต้องเป็นใบที่ไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินความจำเป็น ใบก็เลยจะนุ่ม หอม รวมทั้งเผ็ดพอดี อย่างไรก็ตาม ใบชะพลูกินได้ทุกขนาดอายุของมัน รับผลิตขมิ้นชันหากแม้แก่มากก็กินได้ ด้วยเหตุว่าเส้นใยไม่ถึงกับเหนียวจนถึงกัดไม่ขาด เพียงใบจะหยาบคายนิดหน่อย รวมทั้งกลิ่นจะฉุดน้อย
ในใบชะพลูมีสารอนุภาคเบตา-แคโรทีนสูงมาก ใบเอามากินกับเมี่ยงคำ เอามาแกงใส่น้ำกะทิ ข้าวยำ ห่อหมก หรือเป็นผักจิ้มน้ำพริก ทางภาคใต้ใส่ในแกงน้ำกะทิหอยขม แกงคั่วปูในจังหวัดจันทบุรีใส่ด้านในรับผลิตขมิ้นชันแกงป่าปลา
สมุนไพรอื่นๆ
สรรพคุณสะค้าน
 สะค้าน [/b]ใช้ทำกับข้าวช่วยเพิ่มรสเผ็ด ดังเช่นว่าใส่แกงหน่อ แกงขนุน(ม้ง) เนื้อไม้ ซอกซอยใส่ลาบ ใส่แกง(กะเหรี่ยงแดง) ลำต้น ใช้ใส่แกง ช่วยให้มีกลิ่นหอมหวน(ขมุ) ลำต้น ใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหารเพิ่มรสเผ็ด(เมี่ยน) ลำต้น ใช้เป็นองค์ประกอบในแคปซูลขมิ้นชันของกิน ช่วยกำจัดกลิ่นคาว(ไทลื้อ) เครือแก่ สับเป็นแว่นเล็กๆแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปเป็นส่วนประกอบในของกิน เป็นต้นว่า แกงหัวปลี, ใบอ่อน นำไปแกงขนุน มีกลิ่นหอมหวน(คนกรุง) แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้ลมในทรวงอก ขับลมในทรวงอก ขับลมในไส้ ชูกำลัง แก้ไข้ แก้หืด แก้จุดเสียด รักษาธาตุ ใช้เป็นยาแก้ลมในกองเสลดเลือด (ใบ) ดอกมีรสเผ็ดร้อน มีคุณประโยชน์เป็นยาแก้ลมอัมพฤกษ์ ลมปัตคาดที่เกิดจากพิษพรรดึก (ดอก) ผลมีรสร้อนเล็กน้อย ใช้เป็นยาแก้ลมแน่นในหน้าอก (ผล)รับผลิตขมิ้นชัน
สะค้านหรือเถาสะค้านเป็นเครื่องยาไทย โบราณจัดไว้เป็นตัวยาประจำธาตุลม หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่าสะค้านมีรสเผ็ดร้อน แก้ลมอันบังเกิดในกองธาตุแล้วก็กอง สมุฏฐาน ใช้ขับลมในลำไส้ แก้จุดเสียด แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงธาตุทำให้ผายเรอ เบื่อข้าว มือเท้าเย็น ปากแห้ง คอแห้ง คลื่นเหียนอาเจียนจนถึงขั้นหายใจขัด เครื่องยานี้จัดอยู่ในพิกัดยาที่เรียกว่า “เบญจกูล” เป็นตัวยาในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณหลายขนาน พบในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2549 2 ตำรับ เช่นแคปซูลขมิ้นชันยาหอมนวโกฐ และยาประสะกานพลู

Tags : ขายส่งขมิ้นชัน,รับผลิตขมิ้นชัน

15

ขายกระชายดำสมรรถทางภาพของเพศชาย

  • ขายกระชายดำ จากการค้นคว้าเอกสารงานวิจัยพบว่า สมุนไพรไทยกระชายดำนั้นมีสรรพคุณมากมาย และสามารถช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ได้เกือบ 100 ชนิด
  • ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่ มีคุณค่าทางคงกระพันชาตรี ด้วยการใช้เหง้านำมาหั่นเป็นแว่น แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง นำมาบดให้เป็นผงละเอียดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน ใช้กินเช้าเย็น
  • เเคปซูลกระชายดำ ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ด้วยการใช้เหง้าผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นเป็นยาดองเหล้า
  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณของสตรีให้สวยสดใส ดูผุดผ่อง
  • แก้กามตายด้าน ด้วยการใช้เหง้าสดนำมาดองกับเหล้าขาวและน้ำผึ้งแท้ (ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งไว้ประมาณ 9-15 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มวันละ 1-2 เป๊ก
  • ช่วยกระตุ้นระบบประสาท บำรุงประสาท ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย
  • ช่วยในการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน ช่วยทำให้นอนหลับดีขึ้น
  • ขายกระชายดำ ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ แก้โรคหัวใจ
  • ช่วยบำรุงโลหิตของสตรี
  • ช่วยในระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกาย ทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต รักษาสมดุลของความดันโลหิต
  • ขายกระชายดำช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
  • ช่วยแก้หอบหืด
  • ช่วยแก้อาการใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียน
  • เหง้าใช้ต้มดื่มแก้โรคตา ช่วยรักษาสายตา
  • เเคปซูลกระชายดำ ช่วยรักษาแผลในช่องปาก ปากเป็นแผล ปากเปื่อย ปากแห้ง
  • ช่วยแก้โรคตานซางในเด็ก แก้ซางตานขโมยในเด็ก
  • ช่วยแก้อาการแน่นหน้าอก
  • ช่วยรักษาโรคในช่องท้อง มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
  • ช่วยขับลม แก้อาการจุกเสียด
  • ขายกระชายดำ ช่วยแก้อาการปวดท้อง ปวดมวนในท้อง อาการท้องเดิน หากมีอาการท้องเดินให้ใช้เหง้านำมาปิ้งไฟให้สุกแล้วนำมาตำให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำปูนใสแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มครั้งละ 3-5 ช้อนแกงหลังจากการถ่ายเนื่องจากมีอาการท้องเดิน
  • ช่วยรักษาโรคท้องร่วง
  • ช่วยในการย่อยอาหาร รักษาระบบการย่อยอาหารให้เกิดความสมดุล
  • กระชายดำแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ช่วยรักษาโรคบิด แก้อาการบิดเป็นมูกเลือด
  • ขายกระชายดำ ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารอันเนื่องมาจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
  • ช่วยขับปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้ปัสสาวะพิการ
  • ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี
  • ช่วยขับประจำเดือน แก้อาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี
  • เหง้าใช้โขลกผสมกับเหล้าขาวคั้นเป็นน้ำดื่ม ช่วยแก้โรคมดลูกพิการ มดลูกหย่อนได้
  • ช่วยแก้ฝีอักเสบ
  • ช่วยรักษากลากเกลื้อน
  • ขายกระชายดำ ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อ และมีอาการเหนื่อยล้า
  • ช่วยรักษาโรคปวดข้อ
  • ช่วยรักษาโรคเกาต์
  • ช่วยแก้อาการเหน็บชา
  • กระชายดำช่วยขับพิษต่าง ๆ ในร่างกาย
  • ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น
  • ขายกระชายดำมีฤทธิ์ในการช่วยรักษาเชื้อราที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง
  • เหง้าใช้ต้มกับน้ำให้สตรีหลังคลอดบุตรดื่ม จะช่วยขับน้ำนม รักษาอาการตกเลือด และช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น

    รับผลิตกระชายดำ กระตุ้นประสาททำให้กระชุ่มกระชวย บำรุงกำลัง ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพิ่มฮอร์โมนทำให้สมรรถภาพทาง เพศเพิ่มขึ้น แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ รักษาโรคความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดหัวใจ ขายส่งกระชายดำ[/url][/u]มี สรรพคุณเหล่านี้ชาวเขาจึงปลูกกันมาแต่โบราณกาล ขณะที่ชาวพื้นราบเพิ่งตื่นเต้น กับกระแสสมุนไพรไทยไม่กี่ปีมานี้เอง โดยเฉพาะบรรดาคุณผู้ชายที่เริ่มรู้ตัวว่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่ซู่ซ่าส์เหมือนสมัยหนุ่ม ๆ พอรู้ว่ากินแล้วเพิ่มพลังอย่างว่าเลยขวนขวายหาซื้อกันใหญ่ เนื่องจาก ราคาไม่แพงมีเงินเป็นร้อยก็หาซื้อได้ ทำให้ตลาดกระชายดำมาแรงเพราะจะไปหาซื้อไวอะกร้าก็คง สู้ราคาไม่ไหว อย่างไรก็ตามถ้าไปถามนักวิชาการ ยังไม่กล้ายืนยันเรื่องสรรพคุณทางเพศเพียงแต่ บอกเป็นนัย ๆ ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้กระชุ่มกระชวยและบำรุงกำลัง กระชายดำ นั้นมีการขายส่งกระชายดำ สรรพคุณหลายอย่างทั้งบำรุงกำลังเพิ่มฮอร์โมนทำให้ สมรรถภาพทาง เพศเพิ่มขึ้น แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ ขับลม รักษาโรคความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดหัวใจ โรคเก๊าต์ โรคกระเพาะอาหาร สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ
    รับผลิตกระชายดำ ช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศชาย กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ เป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ ขับลม ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
    ส่วนประกอบสำคัญ
     

    ผงกระชายดำ
    ขายกระชายดำ ขายส่งกระชายดำ จำหน่ายกระชายดำ
    แคปซูลกระชายดำ รับผลิตกระชายดำ

    สมุนไพรอื่นๆ
    สรรพคุณมะรุม
    มะรุม นับเป็นสมุนไพรที่มีนานัปการคุณประโยชน์ เป็นต้นว่า
    บำรุงร่างกาย ขับเยี่ยว แก้ไข้ แก้ไอ ใช้ลดอาการบวม
    ลดความดันโลหิต ใช้รักษาโรคลำไส้อักเสบ
    ทุเลาอาการท้องผูก รักษาโรคทางเท้าหายใจ
    โรคไขข้ออักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน รักษาโรคที่เกี่ยวกับตา
    แล้วก็มะรุมยังมีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการชะลอวัยด้วย ด้วยเหตุว่ามะรุมมีสาร
    ลูทีน รวมทั้งกรดแคฟฟีโอลิลควินิก ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
    ที่จะมาทำลายเซลล์ของอวัยวะต่างๆให้ย่อยสลาย เป็นต้นว่า
    จอประสาทตา ตับ เส้นโลหิตแล้วก็เซลล์ประสาทสมอง รวมทั้ง
    สารเบนซิลไทโอไซยาเตนวัวไซด์ แล้วก็เบนซิลกลูวัวสิโนเลต
    ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์อีกด้วย ส่วนฤทธิ์สำหรับในการต้านทานมะเร็ง
    ของมะรุมนั้น มาจากสารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์
    และสารไนอาสิไมซินที่สามารถต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้นั่นเอง
    สรรพคุณแห้วหมู
    แห้วหมูหากว่าหัวจะมีรสขมแต่ว่าก็มีคุณค่าทางของกิน ในทวีปแอฟริกาใช้เป็นอาหารเวลาขาดแคลน และก็เป็นของกินนกในเวลาอพยพ การใช้ผลดีจากหญ้าแห้วหมู นิยมนำท่อนหัวใต้ดินมาใช้สูงที่สุด ด้วยเหตุว่าประกอบด้วยสารหลายอย่างดังที่กล่าวข้างต้น สารสกัดที่ได้จากหัวหญ้าแห้วหมูหรือการนำหัวหญ้าแห้วหมูมาใช้นั้น นิยมใช้รักษาโรคต่างๆ
    ตำรายาไทย ขับลม แก้อาการแน่นหน้าอก อ้วก เข้ายาธาตุแก้เจ็บท้อง ขับเหงื่อ ขับฉี่เป็นยากล่อมประสาท เป็นยาแก้ปวดในหญิงที่เมนส์แตกต่างจากปกติ ลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ใช้แก้อาการคันตามผิวหนัง เป็นยาพอกฝีดูดหนองแพทย์พื้นบ้านใช้เป็นยาบำรุงทารกในท้อง ปรุงเป็นยาธาตุขับลมในลำไส้ และแก้ลักษณะของการปวดท้องเพราะว่าท้องอืดเฟ้อ ใช้ผสมในลูกแห้งหมาก หรือแป้งข้าวหมัก สำหรับการทำแอลกอฮอล์ เพราะเหตุว่าก่อให้เกิดแก๊สเร็ว หญ้าแห้วหมูมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร ซึ่งหัวมีรสเผ็ดขมนิดหน่อย ใช้ขับลม ส่วนสารสกัดจากรากมีฤทธิ์ขับเยี่ยวตำรับยาอายุรเวทของอินเดีย ใช้แก้ไข้ ความไม่ปกติในทางเดินของกิน ชาวอาหรับในบริเวณเลอวานต์นำหัวไปอบให้ร้อน ใช้ประคบบริเวณที่บวม หนังสือเรียนยาจีนเรียกเซียวฟู่ (ภาษาจีนกลาง) หรือเฮียวหู้ (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) รากใช้เป็นยาแก้ปวด แก้อักเสบ
    แพทย์แผนใหม่ ใช้แห้วหมูรักษาอาการคลื่นไส้ อาการอักเสบ ลดความเจ็บ ผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ มีสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชศาสตร์หลากหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น: α-cyperone β-selinene cyperene cyperotundone patchoulenone sugeonol kobusone และก็ isokobusone สารสกัดจากหัวที่สกัดด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์แซนธีน- ออกสิเดส เชื้อไข้จับสั่นลดฤทธิ์อะฟาทอกซิน ลดความเป็นพิษที่มีต่อตับ ลดฤทธิ์แอลกอฮอล์ รักษาแผลในกระเพาะเพิ่มระดับความดันเลือด กระตุ้นประสาท กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือด ลดอาการหดเกร็งของลำไส้กล้ามมดลูก แล้วก็กล้ามเรียบ บำรุงหัวใจ กระตุ้นระบบหายใจ ลดการอักเสบ ยั้งเอนไซม์ Glutamate pyruvate transaminase, Prostaglandin synthetase , Aldose reductase , gamma– glutamyl transpeptidase ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน Estrogen ช่วยลดระดับไขมัน ไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ chlolesteral ในเลือด เพิ่มความเข้มข้นของ Plasma protein และยั้งการชีวสังเคราะห์ Prostaglandin
    สรรพคุณว่านชักมดลูก
    ว่านชักมดลูก เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ เหง้า ฝนทาแผล แก้พิษหมากัด ตำราไทย เหง้า รักษาเลือดออกจากมดลูกข้างหลังคลอด รักษามดลูกอักเสบ แก้ตับอักเสบ แก้ปวดท้อง ขับน้ำดี รักษาอาการรอบเดือนมาเปลี่ยนไปจากปกติ , ปวดท้องระหว่างมีรอบเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการของกินไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร หัวตำดองดัวยเหล้า กินครั้งละไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับคนคลอดบุตรใหม่ๆแก้เจ็บมดลูก ทำให้มดลูกเข้าอู่หรือเข้าที่
    ไม่อักเสบ นิยมนำหัวของว่านชักมดลูกที่เป็นหัวกลมสั้นมาฝานต้มน้ำสำหรับอาบ และก็ดื่ม เพื่อสภาพร่างกาย แล้วก็มดลูกฟื้นได้เร็วขึ้น ส่วนหญิงบางบุคคลในยุคใหม่ไม่ค่อยพบการอยู่ไฟแล้ว แต่ก็ยังนิยมใช้ว่านชักมดลูก/ว่านทรหดมาต้มน้ำอาบ แล้วก็ดื่มเสมอๆตลอดระยะเวลา 3 เดือน หรือมากกว่า ว่านชักมดลูกยังช่วยกระตุ้นการย่อยของอาหาร แก้ริดสีดวง แก้โรคไส้เลื่อน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ปกป้องโรคมะเร็งประเภทต่างๆลดอาการปวดบวมของแผล และก็ต่อต้านการอักเสบของแผล ถ้าเป็นแผลข้างในจะใช้การต้มน้ำดื่ม แม้เป็นแผลข้างนอกอาจใช้ทั้งการต้มน้ำกิน ใช้บดทาแผล หรือน้ำต้มล้างทาแผล ช่วยกระตุ้นขั้นตอนการสร้างเซลล์ใหม่ และการบูรณะเซลล์ที่สึกกร่อนหรือเซลล์รอยแผล ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวแลดูผ่องใส ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก กระตุ้นการหลั่งน้ำถุง แล้วก็ช่วยกระตุ้นกระบวนกรย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

    Tags : ขายกระชายดำ

หน้า: [1] 2 3 4